สวัสดีครับ ชื่อของผมคืออีซองยอล ผมเรียนจบแล้วและผมค่อนข้างโชคดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆตรงที่ผมได้งานทำในทันทีที่เรียนจบ
นั่นก็เพราะว่าผมมีพี่ชายเป็นถึงเจ้าของบริษัท
พี่คิมซองกยูเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมเราค่อนข้างสนิทกันเพราะเติบโตมาด้วยกัน แม้ผมจะอายุห่างกับพี่ซองกยูค่อนข้างมากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความผูกพันระหว่างเราลดน้อยลง
ด้วยความที่พี่เขาค่อยข้างห่วงใยในตัวผมพี่ซองกยูจึงเป็นคนจัดการพาผมเข้ามาทำงานในบริษัทของพี่เขาทั้งๆที่ใบรับรองวุฒิปริญญายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หลายๆคนอาจจะคิดว่าผมเป็นเด็กฝาก มันก็อาจจะเป็นความจริงในส่วนหนึ่งแต่มันก็ไม่ได้ถูกไปทั้งหมดเพราะตำแหน่งที่ผมได้รับนั้นก็เป็นแค่พนักงานเล็กๆคนหนึ่งที่ต้องได้รับการเทรนงานและต้องทดลองงานเป็นเวลา
3 เดือนเหมือนๆกับพนักงานคนอื่นๆก่อนที่จะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำของบริษัท
ผมนั้นยังโสดสนิทซ้ำตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีคนรักมาก่อน
จริงอยู่ที่มีคนมากหน้าหลายตาต่างพากันแวะเวียนเข้ามาจีบผม
แต่น่าแปลกที่ผมไม่เคยถูกใจหรือรู้สึกสนใจใครซักคนเป็นพิเศษ
จนคนพวกนั้นต่างคิดว่าผมถือว่าตัวเองหน้าตาดีแล้วหยิ่ง
ผมเปล่าหยิ่งนะผมแค่ยังไม่รู้สึกพิเศษกับใครหรือพูดง่ายๆก็คือยังไม่มีใครที่จะทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรง อยากมองหน้าสบตาเขาอยากใกล้ชิดเขา หรือคิดถึงเขาตลอดเวลาหรือว่าเพราะผมจะอ่านนิยายคลาสสิกแสนโปรดของผมมากเกินไป ผมถึงได้เพ้อฝันมากมายขนาดนี้ ส่วนเรื่องหน้าตาดีเรื่องนี้ผมต้องโมโหในทุกครั้งที่นึกถึง
หน้าตาผมก็แสนธรรมดาจะตายไปแต่หงุดหงิดตรงที่หน้าตาผมนั้นหวานเหมือนผู้หญิงมากไปหน่อยหลายๆคนก็เลยชอบคิดว่าผมเป็นผู้หญิงตลอด ผมล่ะไม่ชอบใจเลยจริงๆ
แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบกับผู้ชายที่ทำให้ผมรู้สึกพิเศษ
ผู้ชายที่ทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรงตั้งแต่แรกพบ
ผู้ชายที่ผมอยากอยู่ใกล้ชิดเขามองหน้าเขาและสบตาเขา วันเริ่มงานวันแรกวันนั้นผมนั่งรถมาบริษัทกับพี่ซองกยูแต่เช้าเพราะพี่ซองกยูมีงานด่วนที่ต้องรีบสะสาง
ด้วยความที่เห็นผู้เป็นพี่ชายต้องเคร่งเครียดแต่เช้าผมจึงอาสาออกไปชงกาแฟมาให้โดยลืมไปว่าผมพึ่งมาที่นี่เป็นวันแรกทำไมผมถึงไม่ถามพี่ชายผมก่อนล่ะ
ว่าห้องสำหรับชงกาแฟอยู่ตรงจุดไหน
ผมยืนหันรีหันขวางไปมาจนทำซุ่มซ่ามชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งจนกาแฟในมือของเขาหกรดใส่เสื้อเปรอะเปื้อน
ผมตกใจมากรีบคว้าผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อเช็ดรอยเปื้อนด้วยความตกใจพร้อมเอ่ยขอโทษเขาอย่างรู้สึกผิด
แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา สบตาเขา ใจผมก็เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ใบหน้าหล่อคม ดวงตาดำสนิท จมูกโด่งได้รูปที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นอันโตแสนเชยนั้นไม่ได้ทำให้รัศมีความเปล่งประกายจากเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด
ไหนจะปากหยักเป็นกระจับได้รูปนั่นอีกล่ะ มันทำให้ผมใจเต้นแรงมากขึ้นไปอีกจนเหมือนมันจะทะลุออกมานอกอกเสียให้ได้
ก่อนที่ผมจะไม่มีสติไปมากกว่านี้ ผมรีบเอ่ยขอโทษเขาแล้วยังจะเผลอยิ้มกว้างให้เขาอีก น่าอายจริงๆ
ก่อนที่เขาจะเดินห่างออกไป ผมกลับมาที่ห้องทำงานของพี่ซองกยูพร้อมกับแก้วกาแฟแล้วนั่งใจลอยอยู่อย่างนั้นจนเกือบไม่ได้ยินพี่ซองกยูบ่นผมเรื่องรสชาติของกาแฟที่ผมชงให้แย่กว่าปกติ
“ ห่ะ !!! พี่ซองกยูว่าอะไรนะครับ
”
“ พี่บอกว่าทำไมวันนี้เราถึงชงกาแฟไม่ได้เรื่องเลย ฝีมือตกไปเยอะนะ ”
“ อ่ะ จริงหรอครับ ผมขอโทษ งั้นเดี๋ยวผมไปชงให้ใหม่นะ
”
“ ไม่ต้องหรอกซองยอล พอกินได้อยู่
เรานั่งอ่านหนังสือตรงนั้นไปก่อนนะ ขอพี่เคลียร์งานแป๊บนึง ”
ผมพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหยิบหนังสือนิตยสารที่ตั้งไว้บนโต๊ะแถวโซฟามานั่งอ่านฆ่าเวลาแต่ในใจผมก็อดคิดถึงดวงหน้าของผู้ชายคนนั้นวนเวียนเข้ามาอยู่ในความคิดไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยเกือบ 11 โมง
พี่ซองกยูก็เสร็จงานก่อนจะรวบรวมงานที่ทำทั้งหมดส่งคืนให้กับลูกน้องของตนที่เข้ามารับงานในห้องเพื่อเอากลับไป
" เรียกมยองซูมาหาฉันด้วย
"
พี่ซองกยูเอ่ยสั่งกับลูกน้องคนนั้นก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป
" เสร็จแล้วหรอครับ
" ผมลุกเดินจากโซฟามาหาพี่ซองกยูที่โต๊ะ
“ อืม
พี่ให้คนไปตามคนที่จะเทรนงานให้ซองยอลแล้วนะ เขาชื่อมยองซู ทำงานเก่งใช้ได้เลย
มีอะไรก็ปรึกษาเขานะ ” พี่ซองกยูเอ่ยกับผม
“ ครับ ”
สักพักหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
ผมหันไปมองตามเสียงนั่นแล้วใจผมก็ต้องเต้นแรงตึกตักขึ้นอีกครั้งเมื่อร่างสูงของคนที่เปิดประตูเข้ามานั้นคือผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายสวมแว่นที่ผมซุ่มซ่ามทำกาแฟหกใส่เขากำลังเดินเข้ามาในห้องเดินตรงมาหาพี่ซองกยูผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากส่งยิ้มให้กับเขาเพื่อลดอาการประหม่าที่กำลังเล่นงานผม
หลังจากพี่ซองกยูฝากฝังผมกับพี่มยองซูเรียบร้อยแล้ว
ผมก็เดินตามเขามาที่โต๊ะเพราะผมต้องนั่งโต๊ะร่วมกับพี่มยองซูตลอดที่ต้องเทรนงานกัน พี่มยองซูตั้งใจสอนงานผมอย่างจริงจัง
ผมตั้งใจฟังพี่เขาก็จริงแต่ด้วยระยะห่างระหว่างเรามันใกล้มากจนเกินไปผมอดที่จะเท้าคางแอบมองหน้าพี่มยองซูไม่ได้เวลาที่เขาไม่รู้ตัว ใบหน้าหล่อๆภายใต้แว่นเชยๆนั้นทำไมถึงช่างน่ามองขนาดนี้นะ
แต่พอพี่มยองซูเงยหน้ามองมาทางผม
ผมก็แก้เก้อด้วยการทำเป็นก้มหน้าก้มตาจดเล็กเชอร์ลงบนสมุดเล่มเล็กเพื่อไม่ให้พี่เขาสงสัย
ใกล้เที่ยงแล้วพี่ซองกยูโทรมาชวนผมไปกินข้าวข้างนอกแต่ผมปฎิเสธพี่เขาโดยอ้างด้วยเหตุผลง่ายๆว่าผมขี้เกียจแต่จริงๆแล้วผมอยากไปกินข้าวกับพี่มยองซูมากกว่า
ผมเดินหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้องน้ำตัดสินใจอยู่ตั้งนานไม่กล้าชวนพี่มยองซูเพราะกลัวว่าพี่เขาจะมองว่าผมใจง่ายให้ท่าเขาหรือเปล่า
แต่สุดท้ายผมก็ทนกับเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว ผมใจกล้าหน้าด้านเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วเอ่ยชวนพี่มยองซูเสียดื้อๆซ้ำยังลากชื่อพี่ซองกยูมาเป็นข้ออ้างว่าพี่ซองกยูติดธุระเพื่อไม่ให้พี่มยองซูสงสัย
ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จผมได้ไปกินข้าวกับพี่มยองซูเป็นครั้งแรกสมใจ
ผมพยายามทำทุกวิธีทางที่จะได้ใกล้ชิดพี่มยองซู
หาโอกาสออกไปกินข้าวกับพี่เขาบ่อยๆ
ด้วยหวังว่าพี่เขาจะสนใจและหันกลับมามองที่ผมบ้าง แต่ผมก็ต้องผิดหวัง
ตลอดเวลาเกือบ 4 เดือนที่ผ่านมาพี่มยองซูไม่เคยมีทีท่าว่าจะคิดอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่กลับรู้สึกรักและผูกผันกับพี่เขามากขึ้นทุกวัน
และยิ่งตอนนี้ผมเริ่มห่างไกลจากพี่มยองซูมากขึ้นทุกที พี่มยองซูหมดหน้าที่ในการเทรนงานให้ผมแล้ว
ซ้ำผมยังต้องย้ายออกมานั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเองทั้งๆที่ในใจนั้นยังอยากนั่งร่วมโต๊ะตัวนั้นกับพี่มยองซู
และสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นนั่นก็คือพี่มยองซูดูเปลี่ยนไป
เขาเริ่มแต่งตัวตามแฟชั่นมากขึ้น แว่นตาอันโตแสนเชยที่เขาเคยใส่ทุกๆวันก็ถูกแทนที่ด้วยคอนแท็คเลนส์
โดยปกติแล้วพี่มยองซูก็เป็นคนที่หน้าตาดีอยู่แล้วยิ่งเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบนี้ก็ยิ่งดูหล่อเหลาสะดุดตามากขึ้นไปอีก ทำให้บรรดาสาวๆในบริษัทต่างพากันตื่นเต้นกันใหญ่
นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไปกันใหญ่แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ก็พี่มยองซูไม่ได้เป็นอะไรกับผมซักหน่อย
ใกล้วันวาเลนไทน์เข้ามาทุกที ผมตัดสินใจที่จะสารภาพรักพี่มยองซูในวันวาเลนไทน์ถึงแม้อาจจะต้องถูกปฎิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยจากพี่มยองซูก็ตาม
ก่อนวันวาเลนไทน์ผมทำการศึกษาวิธีทำช็อกโกแลตจากเว็บไซด์และหนังสือต่างๆ และในคืนก่อนวันวาเลนไทน์นั้นผมก็นั่งทำช็อกโกแลตทั้งคืนแม้รสชาติและหน้าตามันจะดูไม่สวยงามซักเท่าไร
แต่ผมก็ได้แต่หวังว่าพี่มยองซูจะชอบและรับมันไป ผมค่อยๆบรรจุช็อกโกแลตลงในกล่องรูปหัวใจอย่างเบามือ
หยิบการ์ดออกมาจะเขียนแต่กลัวว่าลายมือตัวเองจะสวยไม่พอ
ผมจึงเปลี่ยนไปใช้พิมพ์อักษรแล้วนำมาแปะลงไปแทน ผมกอดกล่องช็อกโกแลตนั้นอย่างมีความสุข
รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ในวันรุ่งขึ้นวันวาเลนไทน์วันที่ผมรอคอย ผมคอยหาโอกาสที่จะให้ช็อกโกแลตกล่องนั้นกับพี่มยองซูแต่ก็ไม่มีโอกาสให้ซักทีเพราะดูวันนี้พี่มยองซูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดี
ผมนั่งมองบรรดากล่องช็อกโกแลต กล่องของขวัญ
ช่อดอกไม้และการ์ดต่างๆที่มีคนนำมันมาให้ผมแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่คนเดียว
ของบนโต๊ะพวกนี้มีตั้งมากมายแต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจซักนิดถ้ามันไม่มีของพี่มยองซู
ก่อนพักกลางวันผมตัดสินใจเดินไปชวนพี่มยองซูกินข้าวด้วยกันด้วยหวังว่าผมจะได้มีโอกาสมอบช็อกโกแลตกล่องนั้นให้พี่มยองซูแต่ผมก็ต้องผิดหวังและเสียใจเมื่อพี่มยองซูปฎิเสธผมเพราะติดธุระ
ผมนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะของผมตั้งนานไม่ยอมไปออกไปพักกลางวันก่อนจะตัดสินใจในช่วงที่ไม่มีใครอยู่ในแผนกนำช็อกโกแลตกล่องนั้นไปแอบใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะของพี่มยองซู
ช่วงบ่ายผมนั่งทำงานไปใจก็เต้นระรัวไปแอบลุ้นให้พี่มยองซูเปิดลิ้นชักแล้วเห็นกล่องช็อกโกแลตกล่องนั้น ในที่สุดผมก็สมหวังพี่มยองซูเห็นช็อกโกแลตกล่องนั้น
แต่กลับไม่ใส่ใจมันซ้ำยังจะยกให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นอีก ผมรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจมากหันไปมองพี่มยองซูแวบนึงก่อนจะหันมาทำทีตั้งใจทำงานพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาให้ใครเห็น
หลังเลิกงานวันนั้น
ผมแอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บนดาดฟ้าบริษัทอยู่นานสองนานจนพลบค่ำ
ผมจึงกลับลงมาที่แผนกแต่ก็ต้องรีบหลบพี่มยองซูที่กำลังเก็บของเตรียมจะกลับบ้านเพราะกลัวว่าเขาจะสงสัยที่ดวงตาของผมแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เมื่อพี่มยองซูออกไปแล้ว
ผมก็เดินฝ่าความมืดเข้าไปในแผนกโดยมีแสงไฟจากนอกตึกสาดเข้ามาเล็กน้อยให้ผมพอคลำทางไปได้
ผมตัดสินใจตรงไปที่โต๊ะพี่มยองซูเพื่อเอาช็อกโกแลตกล่องนั้นคืนมา
ผมกอดช็อกโกแลตกล่องนั้นไว้แนบอกแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจแต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนใกล้เข้ามา
ผมทำอะไรไม่ถูกพยายามหาที่หลบแต่ด้วยเพราะห้องนั้นมืดเกินไปผมจึงชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนมันหล่นลงพื้นเกิดเสียงขึ้นมา
“ นั่นใครนะ”
นั่นคือเสียงพี่มยองซูผมจำเสียงของเขาได้ดี ผมจะทำยังไงดี ผมรีบใช้มือปาดน้ำตาบนหน้าออกลวกๆแต่ก็ยังซุ่มซ่ามเผลอชนอะไรเข้าอีกจนเกิดเสียงดัง หลังจากนั้นไฟในห้องก็สว่างขึ้นด้วยมือของพี่มยองซู ผมรีบซ่อนกล่องช็อกโกแลตไว้ข้างหลังผมทันที พี่มยองซูดูจะแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นผมและทำท่าตกใจเมื่อเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วสังเกตเห็นว่าผมร้องไห้
เขาคาดคั้นผมแต่แฝงไปด้วยความห่วงใย ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ส่ายหน้าไปมา
สุดท้ายเมื่อพี่มยองซูสังเกตเห็นว่าผมซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง พี่มยองซูก็ตรงเข้ามาแย่งกล่องช็อกโกแลตที่ผมซ่อนไว้ไปดูจนได้
เมื่อความแตกผมได้แต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ความเสียใจและน้อยใจทั้งหมดที่กักเก็บเอาไว้มาตั้งแต่ช่วงบ่ายผมระเบิดมันออกมาหมดโดยไม่สนอีกแล้วว่าพี่มยองซูจะโกรธหรือเกลียดผมก็ตาม
แต่แล้วผมก็มีความสุขเหมือนฝันเมื่อได้รู้ความจริงจากปากของพี่มยองซูเองว่าจริงๆแล้วผมและพี่มยองซูใจเราตรงกัน
พี่มยองซูเองก็รักผมเหมือนกันเพียงแต่พี่เขาเองก็ไม่กล้าที่จะสารภาพกับผม
ถ้าไม่ใช่ช็อกโกแลตกล่องนั้นเราก็คงไม่ได้เปิดเผยความในใจซึ่งกันและกัน เราสองคนตกลงคบเป็นแฟนกันในคืนนั้นนั่นเอง
ผมกับพี่มยองซูแอบคบกันโดยไม่บอกใครโดยเฉพาะพี่ซองกยู แต่ความลับก็ไม่มีในโลก
ในบ่ายวันหนึ่งขณะที่ทุกคนในแผนกกำลังทำงานกันตามปกติ
อยู่ดีๆพี่ซองกยูก็เดินเข้ามาในแผนกด้วยหน้าตาที่บึ้งตึงก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของพี่มยองซูก่อนจะจ้องพี่มยองซูนิ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบจนดูน่ากลัว
“ มยองซู ออกมาคุยกับฉันหน่อย ”
“ ครับ ”
พี่มยองซูรับคำพี่ซองกยูแล้วเดินตามพี่ซองกยูออกไปข้างนอก
ผมใจหายวาบเมื่อสบเข้ากับแววตาของพี่ซองกยูที่มองมาที่ผมแวบนึง แววตาที่ดูนิ่งสงบเยือกเย็นจนน่ากลัวแต่แฝงไปด้วยความโกรธระคนอยู่ในนั้น
ผมรู้จักพี่ซองกยูดีแววตาแบบนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่าง เมื่อคิดได้ดังนั้นผมรีบผุดลุกขึ้นแล้วเดินแกมวิ่งตามคนทั้งคู่ไปในทันที
ผมเห็นพี่ซองกยูและพี่มยองซูหายเข้าไปในลิฟท์ผมเดาว่าทั้งคู่น่าจะขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้า ผมรีบกดปุ่มเรียกลิฟท์อีกตัวเพื่อจะตามขึ้นไปบนนั้น
ที่ดาดฟ้าผมตามพี่ซองกยูกับพี่มยองซูขึ้นมาติดๆแต่ไม่กล้าเข้าไป ผมรอดูสถานการณ์ของทั้งคู่อยู่ห่างๆแต่ก็อยู่ในระยะที่ใกล้มากพอที่จะได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองได้อย่างถนัด
“ บอสมีอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ
ถึงเรียกผมขึ้นมาคุยที่นี่ ”
“ สำคัญนะหรอ ก็ต้องสำคัญสิ ว่าแต่นายเถอะมยองซู
นายมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่า ”
พี่ซองกยูเอ่ยเสียงเรียบกับพี่มยองซู
ใบหน้าดูเคร่งขรึมจนน่าอึดอัด
“ เอ่อ ไม่มีครับ ” พี่มยองซูตอบพี่ซองกยูไปแบบนั้น
“ แน่ใจนะว่าไม่มี ”
พี่ซองกยูถามเสียงเรียบอีกครั้ง ดวงตาเรียวเล็กส่องประกายของความไม่พอใจออกมา
“ เอ่อ ไม่มีจริงๆครับ ”
ฉับพลันหลังจากพี่มยองซูเอ่ยประโยคนั้นจบลง พี่ซองกยูก็สาดหมัดที่กำแน่นของตนพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งปากของพี่มยองซูพอดี แรงหมัดที่รุนแรงทำให้พี่มยองซูหมุนคว้างเสียหลักลงไปกองที่พื้นในทันที ผมตกใจกับภาพตรงหน้ารีบสาวเท้าวิ่งตรงไปหาคนทั้งคู่ทันที
ผมปราดเข้าไปประคองร่างพี่มยองซูที่นั่งอยู่กับพื้น มุมปากของพี่มยองซูเริ่มมีเลือดซึมออกมาให้เห็น
ผมเงยหน้ามองพี่ซองกยูด้วยความไม่พอใจ
“
หมัดแรกสำหรับความบังอาจของแกคิมมยองซู แกกล้าดียังไงมาล่อลวงซองยอล ”
พี่ซองกยูตวาดเสียงดังใส่แล้วทำท่าจะกระชากพี่มยองซูมาต่อยอีกครั้ง ผมเอาตัวขวางพี่มยองซูเอาไว้
“ อย่านะพี่ซองกยู อย่าทำพี่มยองซู
”
“ แกไม่ต้องยุ่งเลยอีซองยอล แกก็เหมือนกัน ฉันเคลียร์กับไอ้มยองซูจบ
แกจะเป็นรายต่อไป ”
พี่ซองกยูเอ่ยกับผมด้วยความโกรธ
“ ไม่!!! ซองยอลไม่ยอมให้พี่กยูทำพี่มยองซูนะ
ซองยอลรักเขา ซองยอลเป็นฝ่ายรักเขาเอง พี่มยองซูไม่ผิด ”
“
นี่แกเอ่ยปากตะโกนบอกรักเขาได้ไม่อายปาก ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีน้องอย่างแก ”
“
ซองยอลก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะมีพี่ชายใจร้ายและไร้เหตุผลแบบพี่เหมือนกัน ”
ผมตะโกนเถียงพี่ซองกยูกลับด้วยความโกรธเช่นกัน
“ พอแล้วซองยอลไม่เอาน่า ”
พี่มยองซูจับข้อมือผมเอ่ยห้าม เขาส่ายหัวให้ผมเบาๆไม่ให้ผมเถียงพี่ชาย
“ แต่... ” ผมส่ายหัวปฎิเสธพี่มยองซู
“ พี่จะคุยกับคุณซองกยูเอง ”
พี่มยองซูเอ่ยกับผมก่อนจะลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่ซองกยู
ผมยืนขึ้นข้างๆเขาสายตามองไปที่พี่ซองกยูนิ่ง ผมกลัวพี่ซองกยูจะทำอะไรพี่มยองซูอีก พี่มยองซูโค้งศีรษะขอโทษพี่ซองกยูก่อนจะเอ่ยกับพี่ซองกยูด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ คุณซองกยูผมต้องขอโทษที่ปกปิดเรื่องนี้กับคุณ ผมตั้งใจว่าจะบอกคุณแต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา
”
“ อ๋อ ต้องรอให้ฉันรู้เองสินะ
แกถึงจะบอกฉันได้ ” ซองกยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ ผมรู้ว่าผมผิด แต่ผมรักและจริงใจกับซองยอลจริงๆนะครับ ”
“ แกไม่มีสิทธิ์ คนอย่างแกไม่เหมาะกับซองยอล
แค่แกใช้ความเชื่อใจของฉันที่ให้ดูแลซองยอล ทำแบบนี้กับฉันมันก็มากพอล่ะ
อย่าให้ฉันไม่พอใจยิ่งกว่านี้ ”
“ ผมรู้ว่าผมต่างกับซองยอลมาก
แต่ได้โปรดให้โอกาสผมเถอะ ผมรักซองยอลจริงๆ ผมสัญญาว่าจะดูแลซองยอลอย่างดี ”
“ ไม่มีประโยชน์คิมมยองซู ยังไงฉันก็ไม่ยอมรับในตัวแก
ฉันเห็นแก่ความดีที่แกทำให้กับบริษัท ฉันจะไม่ไล่แกออกก็ได้ แต่แกต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับซองยอลเด็ดขาด ”
พี่ซองกยูเอ่ยคำดุจประกาศิต
“ พี่ซองกยู ไม่นะ
เราสองคนรักกัน ซองยอลไม่ยอม
” ผมพยายามร้องห้ามพี่ชาย
“
ต่อไปนี้ซองยอลจะไม่มาทำงานที่นี่อีก
เพราะเค้าต้องเตรียมตัวเข้าพิธีหมั้น ”
พี่ซองกยูเอ่ยคำสุดท้ายก่อนจะตรงเข้ามากระชากตัวผมออกไปผมพยายามดิ้นรนจากการเกาะกุมแต่สู้แรงพี่ซองกยูไม่ได้ ผมมองพี่มยองซูจนลับสายตาเห็นแววตาเจ็บปวดในแววตานั้นผมยิ่งปวดใจมากกว่า
แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกแรงดิ้นรนจากพี่ชายไปตลอดทางจนเขาจับผมยัดใส่รถขับกลับไปที่บ้านแล้วลากผมไปขังไว้ในห้องนอนของผมเอง โทรศัพท์มือถือก็ถูกยึด ผมได้แต่กอดเข่านั่งร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างหมดหนทาง
นี่มันยุคไหนกันแล้ว
ทำไมพี่ซองกยูถึงยังหัวโบราณและเผด็จการ
ทำไมยังมายึดถือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆอีก
ผมเองก็ไม่ได้ต่างกับพี่มยองซูมากมายเลย
จริงอยู่ว่าฐานะครอบครัวของผมอาจจะเหนือกว่าพี่มยองซูแล้วมันสำคัญตรงไหนในเมื่อผมและพี่มยองซูรักกัน ผมได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบหน้าในใจก็นึกเป็นห่วงคนที่ผมจากมาว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
ผมประชดชีวิตด้วยการไม่ยอมกินอะไรเลยมาหลายวัน สุดท้ายผมก็ล้มป่วยลงและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในที่สุด
ผมโกรธพี่ซองกยูมากจนไม่ยอมพูดกับเขามาตั้งแต่วันเกิดเรื่อง สุดท้ายผมก็พาลไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับใครทั้งนั้นทั้งพ่อหรือแม่ ผมอยู่ที่โรงพยาบาลผมก็อาละวาดขว้างปาของใส่พยาบาลจนแต่ละคนต่างเข็ดขยาดกับผม ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันเป็นเรื่องที่ผิดเพราะพยาบาลพวกนั้นต่างก็ทำหน้าที่ของตนเอง แต่ผมไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับผม ผมอยากอยู่คนเดียว
ผมไม่อยากพบใครทั้งนั้นนอกจากพี่มยองซูคนเดียวเท่านั้น แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรผมคงไม่ได้พบกับพี่มยองซูอีกแล้วผมรู้จักพี่ซองกยูดีคนอย่างเขาถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำจนสำเร็จ เมื่อนึกถึงขึ้นมาผมก็อดที่จะกอดเข่าตัวเองแนบหน้าลงไปกับแขนแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นไม่ได้ พลันหูของผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา
คงจะเป็นพยาบาลคนใดคนหนึ่งสินะเพราะนี่ก็เวลาเที่ยงแล้วพยาบาลคนนั้นคงจะเอาอาหารและยามาให้ผมตามเวลาปกติ
ผมไม่ใส่ใจกับคนที่อยู่ในห้องยังคงแนบหน้าอยู่กับแขนตัวเองน้ำตามันยังคงไหลไม่หยุด ผมได้ยินเสียงเคลื่อนโต๊ะวางอาหาร เสียงวางจานลงบนโต๊ะนั้น ซักพักก็มีเสียงฝีเท้าคนเปิดประตูเดินออกไป
ผมแอบโล่งอกที่พยาบาลออกไปซักทีผมจะได้ไม่ต้องออกแรงอาละวาดไล่พวกเธอให้เหนื่อยแล้วมารู้สึกผิดกับพวกเธอทีหลัง
แต่แล้วผมกลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างเคลื่อนอยู่ใกล้ๆผมทางฝั่งเตียงด้านขวา
ผมแปลกใจเล็กน้อยหรือว่าพยาบาลที่เข้ามามีสองคนกันนะ
“ ออกไปได้แล้ว ผมอยากอยู่คนเดียว ”
ผมเอ่ยออกมาทั้งๆที่ใบหน้ายังคงแนบอิงกับแขน แต่เงียบ
ผมไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ
ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกไปแต่ผมยังสัมผัสได้ว่ายังมีคนอยู่ใกล้ๆผม
ผมเริ่มโมโหที่คนที่อยู่ร่วมห้องในตอนนี้ไม่ยอมทำตามคำสั่ง
“ ผมบอกให้ออกไปไง อย่าให้ผมต้องออกแรงอาละวาดนะ”
ผมเอ่ยไล่คนที่อยู่ในห้องกับผมอีกครั้ง แต่ก็ยังเงียบไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม ผมรู้สึกโกรธและโมโหมากกว่าเดิม ผมออกแรงเหวี่ยงแขนใส่โต๊ะสำหรับวางอาหารอย่างแรงทั้งๆที่ใบหน้ายังก้มแนบอยู่ ผมคิดว่าผมกะตำแหน่งมันถูก โต๊ะวางอาหารที่เคลื่อนที่ได้เมื่อโดนแรงผมผลัก
มันก็หมุนออกไปทางข้างเตียงด้านซ้าย
ผมได้ยินเสียงจานกระทบกันแต่คงจะโชคดีไปนิดที่จานพวกนั้นแค่เคลื่อนไม่ถึงขั้นตกลงพื้น
“ ออกไปได้หรือยัง ออกไปนะ ไม่ออก ฉันไม่ทำแค่นี้แน่ ”
ผมเอ่ยขู่อีกครั้ง
“ แล้วจะทำแค่ไหนล่ะ เด็กนิสัยไม่ดี
”
เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังจากเงียบมานาน เสียงที่คุ้นเคย เสียงนั้น
เสียงที่ทำให้ผมใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
ผมรีบเงยหน้าขึ้นจากแขนตัวเองที่กอดเข่าไว้ขึ้นมองตามเสียง นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
พี่มยองซูกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงข้างขวาของผมเขากำลังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผมคิดถึงมาให้
“ พี่มยองซู ”
ผมเรียกชื่อพี่มยองซูด้วยความดีใจ
ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่จ้องหน้าพี่มยองซูนิ่งแล้วก็สะอื้นร้องไห้ออกมา เดือนร้อนให้พี่มยองซูลุกจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เปลี่ยนมานั่งอยู่ที่ริมขอบเตียงของผม มือหนาของพี่มยองซูข้างนึงลูบหลังผมอย่างแผ่วเบาอย่างปลอบโยน อีกมือหนึ่งเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าให้ก่อนจะใช้นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาให้ผมอย่างปลอบใจ
“ อะไรกัน เจอพี่ไม่ดีใจหรอ
ร้องไห้ทำไม ” พี่มยองซูเอ่ยและยิ้มให้ผม
“ ดีใจสิ ฮือออออ ฮึกกกกกก
ดีใจที่สุดเลย ” ผมพูดไปก็สะอื้นร้องไห้ไป
“ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์
ทำไมกลายเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแล้วล่ะ ขว้างปาข้าวของได้ยังไง หืม ”
พี่มยองซูลูบหัวผมไปมา
เอ่ยกับผมด้วยพูดที่อบอุ่นและแสนจะอ่อนโยน
“ ซองยอลเปล่านิสัยไม่ดีนะ
ก็ซองยอลคิดถึงพี่มยองซูนี่น่า ซองยอลไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น นอกจากพี่มยองซูคนเดียว
”
ผมบอกพี่มยองซู จนเขาอดยิ้มอย่างชอบใจไม่ได้
“ คิดถึงพี่มากขนาดนั้นเลยหรอ ”
“ อืม” ผมพยักหน้ารับพี่มยองซูเป็นคำตอบ
แต่อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่มยองซูมาที่นี่ได้อย่างไร
“
ว่าแต่พี่มยองซูมาที่นี่ได้ยังไง
รู้ได้ยังไงว่าซองยอลอยู่ที่นี่ ” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ บอสเป็นคนบอก คุณซองกยูเป็นคนบอกพี่ ”
“ ห่ะ พี่ซองกยูนี่นะ ” ผมอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ ใช่ คุณซองกยูเป็นห่วงซองยอลมากนะ เขาเรียกพี่ไปคุยด้วย เล่าเรื่องซองยอลให้พี่ฟังทั้งหมด
แล้วก็อนุญาตให้พี่มาหาซองยอลได้ ”
“ หึ ซองยอลไม่อยากจะเชื่อว่าคนใจร้ายคนนั้นจะทำเพราะห่วงซองยอล คงกลัวซองยอลจะตายแล้วตัวเองจะมีความผิดนะสิ ”
ผมเอ่ยด้วยความที่ไม่เชื่อว่าพี่ซองกยูจะยอมใจอ่อนง่ายๆ
และด้วยอารมณ์ที่ยังโกรธผู้เป็นพี่ชายอยู่
“
คุณซองกยูรักและห่วงซองยอลจริงๆนะ
ไม่งั้นเขาไม่ยอมอนุญาตพี่ขนาดนี้หรอก ”
ผมพยักหน้ารับรู้กับคำพูดของพี่มยองซู
“ พี่มยองซู กอดหน่อยได้ไหม ”
ผมเอ่ยอ้อนพี่มยองซู จริงๆผมอยากกอดพี่เขาใจจะขาดแล้วแต่ใจมันไม่กล้าพอ
ถึงผมจะดูใจกล้าในหลายๆเรื่องแต่เรื่องแบบนี้ผมก็เขินเหมือนกันนะไม่กล้าทำก่อนหรอก
“ ไม่ได้!!! ” พี่มยองซูเอ่ยทำหน้านิ่งใส่
ผมอึ้งไปกับคำพูดและสีหน้านั้นจนรู้สึกน้อยใจล้นอก
“ กอดหน่อยเดียวไม่ได้หรอก
ต้องกอดเยอะๆต่างหากล่ะ ”
พี่มยองซูเอ่ยก่อนจะเปลี่ยนสีหน้านิ่งๆนั้นมายิ้มทะเล้นให้ผม
ผมฟาดไปที่แขนพี่มยองซูด้วยความหมั่นไส้สองสามทีฐานที่แกล้งผมในตอนที่กำลังใจไม่ดีอยู่
หลังจากนั้นพี่มยองซูก็รวบผมเข้ามากอดในอ้อมแขนของเขามือนึงก็ลูบผมสีน้ำตาลเข้มของผมอย่างเบามือ
“ กอดเยอะๆแบบนี้พอไหม ”
“ อืม ”
ผมตอบพี่มยองซูตัวเองก็ซบหน้ากับอกกว้างนั้นอย่างอบอุ่น
ผมคิดถึงพี่เขาเหลือเกิน คิดถึงแทบขาดใจ
“ ซองยอล คุณซองกยูอนุญาตให้พี่คบกับซองยอลได้แล้วนะ ”
“ จริงหรอพี่มยองซู” ผมผละออกจากอ้อมกอดพี่มยองซู
เงยหน้าถามด้วยความดีใจ
“ ใช่
แต่คุณซองกยูให้พี่สัญญากับเขาเป็นสิบข้อเลย แล้วเขาก็จะเป็นคนคอยดูพฤติกรรมพี่ ถ้าพี่ผิดสัญญาเพียงข้อเดียว
พี่จะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับซองยอลโดยเด็ดขาด แม้แต่หน้าก็ห้ามมาให้ซองยอลเห็น ”
“ ซองยอลว่าแล้ว พี่ซองกยูเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชัดๆ
แล้วพี่มยองซูไปทำสัญญากับพี่ซองกยูเยอะแยะแบบนั้นได้ยังไง เกิดพี่ผิดสัญญาแล้วเราจะทำยังไงล่ะ ”
ผมเอ่ยถามด้วยความกังวล
“ ไม่หรอกซองยอล เพราะพี่คิดว่าพี่สามารถทำตามสัญญาพวกนั้นได้ทุกข้อแน่นอน
”
พี่มยองซูเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ ว่าแต่สัญญานั่นมีอะไรบ้างล่ะ ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ บอกไม่ได้
มันคือสัญญาของลูกผู้ชาย ”
“ ซองยอลก็เป็นผู้ชายนะ ” ผมเถียงพี่มยองซู
“ ก็เป็นผู้ชาย แต่เป็นผู้ชายที่ทั้งสวยและน่ารัก ” พี่มยองซูเอ่ยแล้วยิ้มเอ็นดูให้ผม
“ ไม่เอา ซองยอลไม่อยากสวยน่ารัก ไม่เอา ”
ผมบุ้ยปากใส่พี่มยองซูด้วยอาการงอน ผมบอกแล้วผมไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าผมสวยหรือน่ารัก
ถึงมันจะเป็นคำพูดที่มาจากปากพี่มยองซูผู้ชายที่ผมรักจนหมดใจก็เถอะ
“ จุ๊บ ”
โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวพี่มยองซูก็แตะรีมฝีปากหยักนั้นลงมาที่ริมฝีปากผมเบาๆอย่างรวดเร็วแล้วผละออกไปก่อนจะอมยิ้ม
หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่าจุ๊บปากเบาๆนั่นแหละ
“ จะสวยน่ารักไหม ” พี่มยองซูถามผม
“ ไม่!!!!”
พอผมพูดจบประโยค
พี่มยองซูก็แตะริมฝีปากนั้นจุ๊บปากผมอีกครั้งผมได้แต่นิ่งค้างด้วยความตกใจ
“ จุ๊บ”
“ ตกลงจะสวยน่ารักไหม ” พี่มยองซูเอ่ยถามผมอีกครั้งพร้อมขู่ “ ถ้าตอบว่าไม่ ไม่แค่จุ๊บแล้วนะ”
“ อย่านะ ก็ได้ ก็ได้ ”
ผมเอามือเรียวปิดปากตัวเองกันไม่ให้พี่มยองซูทำแบบเมื่อกี้อีก
“ ดีมาก ”
พี่มยองซูยิ้มอย่างพอใจ
ก่อนจะรวบร่างผมเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
พี่มยองซูกอดผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไปไหนอีก
“ พี่รักซองยอลนะ และจะรักตลอดไป ”
“ ซองยอลก็รักพี่มยองซู และจะรักตลอดไปเหมือนกัน ”
ผมตอบพี่มยองซูรู้สึกมันช่างมีความสุขเหลือเกินราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ
พี่มยองซูคลายอ้อมกอดออกก่อนจะแตะริมฝีปากหยักของพี่เขาลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบาและเนิ่นนานส่งผ่านความอ่อนโยนและความอบอุ่นมายังผมก่อนจะถอนริมฝีปากออกไปดวงตาคู่คมสบตาผมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักจนผมรู้สึกเขินอายจนต้องหลบตา
“ ซองยอล” พี่มยองซูเรียกผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อะไรหรอพี่มยองซู ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ พี่ขอจูบอีกทีสิ
เมื่อกี้นี้มันยังไม่เรียกว่าจูบเลยนะ ”
พี่มยองซูทำหน้าออดอ้อนน่าสงสารกับผมจนผมอยากจะเอามือเรียวฟาดไปที่หน้าหล่อๆนั้นซักทีสองทีแบบหนักๆ
เอาอีกแล้วพี่มยองซูเริ่มออกลายหื่นกับผมอีกแล้วไง นี่ผมมองพี่มยองซูผิดไปหรือเปล่าเนี่ย ตอนเราเจอกันแรกๆก็ดูเชยๆ
เฉิ่มๆเรียบร้อยดูไม่มีพิษมีภัยอะไร
แต่ยิ่งนานวันเข้าพี่มยองซูก็คอยแต่จะหาเรื่องจะเอาเปรียบผมอยู่ตลอดเวลา นี่ยิ่งคบเป็นแฟนกันมากเท่าไรผมก็ยิ่งขาดทุนนะ แต่จะทำยังไงได้ล่ะก็ผมมอบหัวใจให้กับผู้ชายคนนี้ไปหมดแล้ว
ถึงจะโดนเอาเปรียบทางร่างกายไปบ้างก็คงไม่เป็นอะไร เพราะอย่างน้อยผมก็ได้หัวใจของผู้ชายคนนี้มาอยู่กับผมแล้ว
มันก็คือผลตอบแทนที่คุ้มค่าแล้วไม่ใช่หรอ
“ ซองยอลนะ จูบครั้งนึงนะ ”
พี่มยองซูยังคงเรียกร้องผมไม่เลิก
“ ไม่!!! ไม่!!! พอแล้ว”
“ นะ ซองยอลนะ”
“ ไม่เอา นี่ซองยอลป่วยอยู่นะ”
“ ป่วยก็ไม่เป็นไร นะ แค่จูบเอง
พี่สัญญาว่าจะจูบเบาๆ ”
“ ไม่!!! ไม่!!! ไม่!!! อย่าเข้ามานะ
ไม่งั้นซองยอลฟ้องพี่ซองกยูด้วย ”
" ไม่ !!! ไม่!!! บอกว่าไม่ !!!! "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น