สวัสดีครับ
ผมชื่อคิมมยองซูจริงๆแล้วมีหลายๆคนบอกว่าผมนั้นเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดีบางคนบอกถึงขั้นรูปหล่อเลยเสียด้วยซ้ำแต่ผมเองก็ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าผมหน้าตาดีดังคนเขาว่ากันแล้วทำไมกันนะผมถึงต้องผิดหวังในเรื่องความรักอยู่ร่ำไป
ใช่ครับ ตอนนี้ผมโสดสนิท ไม่สิต้องบอกว่าเป็นโสดมานานแล้วถ้าจำไม่ผิดแฟนคนสุดท้ายที่ผมคบหาด้วยก่อนที่จะเลิกรากันน่าจะเป็นช่วงผมเรียนมหาวิทยาลัยปี
4เหตุผลที่เราเลิกกันนะหรอ
ก็คงคล้ายๆกับเหตุผลของแฟนคนก่อนหน้านั้นที่ผ่านๆมา
" เราเลิกกันเถอะมยองซูนายเอาแต่เรียน
วันๆไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือไง แล้วดูแต่งตัวสิเชยจะตาย"
" มยองซู
ฉันเบื่อนายที่สุด
ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้แต่งตัวดีๆมางานวันเกิดเพื่อนฉันแล้วดูนายทำ
ฉันอายคนทั้งงานรู้ไหม ใครๆเขาก็พูดกันว่าฉันควงลุงที่ไหนไปงาน "
" ถ้านายจะห่วงไอ้หนังสือบ้าบอนั่นกับรักที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายน่าเบื่อแบบนี้
เราคงไปด้วยกันไม่ได้"
และอีกบรรดาหลายๆเหตุผลที่คล้ายๆกันอีกมากมายที่อดีตแฟนของผมใช้มันเวลาเรามีปัญหากัน
ซึ่งสุดท้ายก็ลงท้ายด้วยการเลิกรากัน เลิกกันแบบที่แทบจะมองหน้ากันไม่ได้ใช่ผมมีแฟนแทบจะนับคนได้
อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ขี้อาย พูดน้อย
ชอบที่จะขลุกตัวอยู่กับกองหนังสือที่ผมชอบ หรือหมกตัวอยู่ในห้องสมุดได้เป็นวันๆ
ชีวิตผมในวัยเรียนจึงมีแค่บ้าน มหาลัยและก็ห้องสมุดเท่านั้นผมจึงไม่ค่อยได้ไปไหนแต่ผมก็รู้สึกมีความสุขดี
จะว่าไปแล้วอดีตแฟนของผมทุกคนที่เราคบกันได้นั้นก็เพราะพวกเธอเข้ามาสนิทกับผมก่อนแล้วถึงได้เริ่มคบกัน
คนอย่างผมมันจะไปกล้าจีบใครก่อนล่ะถึงผมจะโด่งดังในเรื่องการเรียนว่ามีผลการเรียนในระดับต้นๆหรือได้รับรางวัลการแข่งขันด้านวิชาการมามากมายแต่คุณสมบัติแบบนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจในตัวเองแม้แต่น้อย
พวกเธอคงพูดถูกผมคงมีดีแค่นั้นจริงๆแต่ในด้านอื่นๆของผมมันแย่จนติดลบ ผมผิดมากหรอครับที่ผมจะชอบสวมแว่นตาหนาๆมากกว่าใส่คอนแท็คเลนส์
ผมผิดหรอที่จะชอบใส่เสื้อผ้าธรรมดาเรียบง่ายที่ไม่ดูหรูหราหรือตามแฟชั่น
ผมผิดหรอที่ผมไม่ชื่นชอบงานสังสรรค์ ไม่ชอบการเที่ยวเตร่ ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากๆ
มันดูวุ่นวายผมรู้สึกแบบนั้นผมผิดหรอที่ผมชอบเลือกอยู่ในที่เงียบๆกับหนังสือเล่มโปรดซักเล่ม
นั่นแหละคือความสุขในมุมของผม
" มยองซู"
" ครับบอส
"
ผมขานรับคุณคิมซองกยูผู้เป็นเจ้านายของผมซึ่งเดินมาพบผมถึงโต๊ะทำงานแน่นอนคงต้องมีเรื่องสำคัญอะไรซักอย่างที่ทำให้เขาถึงขั้นเดินมาพบผมแทนที่จะเรียกไปพบที่ห้องเหมือนอย่างที่เคยทำ
" พรุ่งนี้จะมีพนักงานใหม่มาเริ่มงานวันแรก
ฝากนายช่วยเทรนงานให้ด้วยนะ"
" เอ๊ะ
ปกติหน้าที่เทรนงาน บอสให้พี่ดงอูทำนิครับ" ผมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
" คนนี้พิเศษ
เป็นญาติฉันเอง ดงอูต้องเทรนคนตั้งสองคนอยู่แล้ว ฉันกลัวจะไม่มีเวลา ให้นายมาช่วยน่าจะดีกว่า
จะได้เป็นงานเร็ว" ซองกยูเอ่ย
" ได้ครับ
" ผมรับคำผู้เป็นเจ้านาย
" ขอบใจนะ"
คุณคิมซองกยูยิ้มบางๆให้กับผมพร้อมตบลงบนบ่าผมเบาๆก่อนเดินจากไป
ผมทำงานที่บริษัทนี้มาได้ 4 ปีกว่าแล้ว แม้ที่นี่จะเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่โดยรวมถือว่าดีทีเดียวสำหรับผม
อย่างว่านั่นแหละผมมันเป็นคนประเภทไม่ชอบความวุ่นวายอยู่แล้ว ดังนั้นบริษัทนี้ตอบโจทย์ผมได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนคุณคิมซองกยูเจ้านายของผมนั้นแม้ติดจะเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นไปบ้างในบางครั้งแต่ผมก็รู้สึกว่าเขานั้นก็เป็นเจ้านายที่ดีมากคนหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นผมมาทำงานแต่เช้าตามปกติ
ผมมักมาที่ทำงานเป็นคนแรกเสมอ ผมถือถ้วยกาแฟประจำตัวเดินตรงไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับให้พนักงานในบริษัทชงกาแฟ หลังจากยืนชงกาแฟให้ตัวเองเป็นที่เรียบร้อยผมก็ยกถ้วยกาแฟหมุนตัวกลับเพื่อจะตรงไปที่โต๊ะทำงาน
พลันผมก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนกาแฟในมือหกรดใส่เสื้อของผมเองโชคยังดีที่มันรดใส่ผมแค่เล็กน้อยไม่เปรอะเปื้อนมากมาย
" อุ้ย!!!!!
ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ "
เสียงหวานๆใสๆเอ่ยขึ้น ผมเงยหน้าจากการสำรวจรอยกาแฟบนเสื้อมองร่างคนตรงหน้า
พลันร่างผมก็ชานิ่งทุกอย่างดูหยุดนิ่งไปหมด ร่างบอบบางตรงหน้าคือใครกันนะใบหน้าที่สวยน่ารักราวกับผู้หญิงช่างตัดกับดวงตากลมโตคู่สวยคู่นั้น
ไหนจะแก้มป่องๆน่ารักน่าหยิกนั่นอีกล่ะช่างดูเข้าได้ดีกับปากสีเชอร์รี่อวบอิ่มนั่นเหลือเกิน
สวย สวยจริงๆ ผมจ้องร่างคนตรงหน้านิ่งนาน เนิ่นนานจนคิดว่าผมแทบลืมหายใจไปแล้ว
ก่อนจะตั้งสติขึ้นมาได้
เมื่อร่างบางนั่นยื่นผ้าเช็ดหน้าในมือมาเช็ดรอยกาแฟบนเสื้อผมให้
" ตายจริง
เลอะหมดเลย ขอโทษจริงๆนะครับ ผมนี่มันซุ่มซ่ามจริงๆ"
เสียงใสนั้นเอ่ยขึ้นอีก
ยิ่งร่างบางก้มมาเช็ดเสื้อของผมผมก็ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมจางๆลอยเข้ามาปะทะจมูกอีก
หอม หอมชะมัด
" ไม่เป็นไรครับ
ผมไม่เป็นไร"
ก่อนที่สติผมมันจะล่องลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์มากกว่านี้
ผมรีบบอกคนตรงหน้าแล้วขยับตัวออกห่างเล็กน้อย
" ขอโทษอีกครั้งนะ
" ร่างบางตรงหน้าเอ่ยกับผม ใบหน้าน่ารักนั้นดูเป็นกังวลและรู้สึกผิด
" ไม่เป็นไรครับ
ไม่ได้เลอะอะไรมาก จะชงกาแฟหรอ เชิญครับ "
ผมยิ้มบางๆให้คนตรงหน้าเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น
ร่างบางพยักหน้าให้ผมก่อนจะยิ้มหวานให้ผม อีกแล้ว อีกแล้ว
รอยยิ้มนั้นที่ทำให้ผมแทบขาดใจตาย
ผมยิ้มตอบร่างบางนั้นอีกครั้งก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ใจผมเต้นแรงขึ้นแรงขึ้นแทบไม่เป็นจังหวะ
นี่มันอะไรกันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ผมเดินตรงไปที่ห้องน้ำขลุกตัวอยู่ในนั้นเพื่อตั้งสติของตนเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินออกมาตรงไปที่โต๊ะเมื่อผ่านมุมกาแฟนั่นผมก็อดชะโงกมองเข้าไปไม่ได้แต่ที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว
ผมเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานนั่งลงแล้วหยิบงานที่ค้างจากเมื่อวานมาทำต่อแต่ผมก็อดครุ่นคิดถึงเจ้าของใบหน้าหวานเมื่อครู่นี้ไม่ได้
นี่ผมเป็นอะไรไป
" ใครกันนะ
ทำไมไม่เคยเห็นหน้า " ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ผมนั่งทำงานแบบมีสติบ้างไม่มีสติบ้างจนเวลาล่วงเลยเกือบ
11 โมง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็เดินมาเรียกผมว่าคุณซองกยูเรียกผมให้ไปพบที่ห้องทำงาน
ผมจึงวางงานในมือลงก่อนจะสาวเท้าเดินตรงไปที่ห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายเคาะมันเบาๆก่อนจะผลักบานประตูเปิดเข้าไป
คุณซองกยูนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แต่ว่าร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะนั่นสิที่ทำให้ใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
ผู้ชายหน้าหวานคนเมื่อเช้านั่นเอง ผมตั้งสติไม่ให้ประหม่าเดินตรงไปยืนที่หน้าโต๊ะนั่นแต่ก็ยังไม่วายเห็นรอยยิ้มหวานๆนั่นส่งมาทักทายผม
" เรียกผมหรอครับ
"
ผมเอ่ยกับผู้เป็นเจ้านาย คุณซองกยูพยักหน้าให้ผมเบาๆก่อนจะชี้มือไปที่ร่างบอบบางที่ยืนไม่ไกลห่างไปจากผมเท่าไรนัก
" นี่ซองยอล
คนที่ฉันบอกว่าจะฝากให้นายเทรนให้ ซองยอลนี่มยองซูนะ
เชื่อฟังเขาและตั้งใจทำงานนะ"
" ครับ
สวัสดีครับพี่มยองซู "
ซองยอลโค้งศรีษะให้ผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้
ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มที่น่ารักนั่นมันทำให้ผมใจละลายรู้ไหม
ผมโค้งศีรษะรับซองยอลพยายามทำให้ตัวเองปกติที่สุด
" มีอะไรก็สอนซองยอลได้เต็มที่เลยนะ
ไม่ต้องเกรงใจฉัน " คุณซองกยูเอ่ยกับผมอีกครั้ง
และแล้วโต๊ะทำงานของผมก็มีหนุ่มน้อยหน้าหวานมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกันกับผม
ผมกางเอกสารต่างๆลงบนโต๊ะค่อยๆอธิบายข้อมูลพื้นฐานคร่าวๆเกี่ยวกับงานที่ต้องทำให้กับซองยอลฟังแม้จะรู้สึกประหม่าไปบ้างในบางครั้งเมื่อเงยหน้ามาเจอใบหน้าน่ารักนั่นบุ้ยแก้มป่องขมวดคิ้วเล็กน้อยเท้าคางฟังผมอย่างตั้งใจ
แต่ด้วยหน้าที่แล้วผมต้องทำหน้าที่ของผมให้สำเร็จแม้จะอดหวั่นไหวไปกับร่างน่ารักนั่นที่อยู่ห่างผมเพียงไม่กี่คืบ
ซองยอลนั้นเป็นคนหัวไวและค่อนข้างฉลาดเขาเข้าใจงานที่ผมสอนได้อย่างรวดเร็ว ตรงไหนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็จะเอ่ยปากถามผมอย่างตั้งใจแล้วก็เล็กเชอร์ลงบนสมุดโน้ตเล็กๆสีชมพูของเขา
น่ารัก น่ารักอีกแล้ว เมื่อถึงช่วงพักกลางวันผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ
ซองยอลเดินกลับมาจากห้องน้ำมาที่โต๊ะทำงานก่อนจะส่งเสียงหวานเอ่ยกับผม
" พี่มยองซูจะไปกินข้าวหรอ
ซองยอลไปด้วยนะ "
" อ้าว
ซองยอลไม่ไปกินกับบอสหรอ ”
“ พี่ซองกยู เอ้ย...บอสไปพบลูกค้า
ซองยอลไม่อยากกินคนเดียว อีกอย่างซองยอลก็ไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหน "
ซองยอลเอ่ยดวงตามีแววอ้อนผมเหมือนเด็กน้อย เอ๊ะ หรือว่าเป็นผมที่คิดไปเอง
" งั้นไปกับพี่นี่แหละ
" ผมเอ่ยกับซองยอล ซองยอลยิ้มให้ผมอย่างดีใจราวกับเด็กได้ของเล่น
ผมพาซองยอลมากินข้าวที่ร้านเล็กๆซึ่งเป็นร้านประจำของผมอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก
ซองยอลนั่งเปิดเมนูไปมาพร้อมกับเม้มปากอย่างคนที่ใช้ความคิดในการเลือกเมนูอยู่นานสองนาน
" ไม่รู้ว่าร้านนี้ซองยอลพอจะกินได้ไหม"
ผมเอ่ยถามร่างบางเพราะตามปกติแล้วคุณซองกยูเจ้านายผมค่อนข้างเป็นคนที่ช่างเลือกในเรื่องร้านอาหารเขามักจะเลือกร้านอาหารที่หรูหราค่อนข้างใหญ่
ดังนั้นซองยอลที่เป็นญาติจึงไม่น่าจะต่างกันมากนัก
" ได้ครับ
แต่ว่าซองยอลไม่รู้จะสั่งอะไรดี พี่มยองซูสั่งให้ซองยอลหน่อยสิ ที่พี่คิดว่าอร่อย
"
ซองยอลเอ่ยกับผมพร้อมยิ้มหวานให้
ยิ้มอีกแล้ว ซองยอลขอร้องอย่ายิ้มบ่อยได้ไหม
" ได้
งั้นพี่สั่งให้ "
ผมตอบรับซองยอลก่อนจะเสไปเรียกพนักงานมาสั่งออเดอร์เพื่อลดอาการประหม่า
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วซองยอลทำงานที่นี่มาได้เกือบ
4 เดือนแล้ว แม้ว่าในตอนนี้นั้นผมไม่ต้องทำหน้าที่เทรนงานให้กับซองยอลอีกแล้ว
แต่ผมก็มักจะเป็นคนแรกๆที่ซองยอลจะมาปรึกษาเรื่องงานกับผม โต๊ะทำงานของผมไม่มีร่างของซองยอลมานั่งเบียดเหมือนเดิมอีกแล้วเพราะซองยอลมีโต๊ะประจำตำแหน่งของตนเองซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปแต่มันก็ไม่ยากอะไรนักที่ผมจะสามารถลอบแอบมองซองยอลทุกครั้งที่ร่างบางเผลอ
และสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุดนั่นก็คือซองยอลชอบมากินข้าวกลางวันกับผมในวันที่คุณซองกยูไม่อยู่
จนบางครั้งผมเองก็แอบนิสัยเสียอยู่หลายครั้งชอบลุ้นตัวโก่งให้คุณซองกยูติดธุระตอนช่วงกลางวัน
ซองยอลทำให้ผมเปลี่ยนไปในหลายๆอย่าง ปกติแล้วผมชอบที่จะนั่งกินข้าวคนเดียวจนเป็นเรื่องปกติแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกหงอยเหงาทุกครั้งเมื่อต้องมานั่งกินข้าวกลางวันโดยลำพัง
นี่ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมส่วนตัวของผมอีก ผมยอมถอดแว่นหนาๆที่ผมชอบสวมมันมาตลอดแล้วซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่แทนรู้ไหมกว่าผมจะใส่มันได้ตาผมต้องเจ็บไปตั้งไม่รู้กี่วัน
ไหนจะเรื่องเสื้อผ้าอีกผมไปเดินวนเวียนอยู่ที่ร้านเสื้อผ้านานสองนานไม่กล้าเข้าจนพนักงานในร้านต้องออกมาเชิญผมซ้ำยังแนะนำเรื่องการแต่งตัวให้ผมด้วย
ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันดีขึ้นไหมแต่ก็ต้องขอบคุณพนักงานหญิงคนนั้นจริงๆเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจขึ้น
วันนี้เป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์
วันแห่งความรักที่คนมีคู่รักต่างพากันรอคอยซึ่งมันไม่ใช่ผม
ผมลอบมองดูของบนโต๊ะซองยอลที่เต็มไปด้วยกล่องช็อกโกแลต กล่องของขวัญ ช่อดอกไม้ ที่มีทั้งคนในบริษัทเอามาให้และมีส่งมาให้จากข้างนอกอีกด้วย
มันคงจะไม่แปลกที่คนที่แสนน่ารักอย่างซองยอลจะมีคนชอบพอมากมายขนาดนี้
แต่ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดกับภาพนั้นเหลือเกินนะ
จริงๆแล้วผมไม่ควรเป็นแบบนี้ผมมีสิทธิ์อะไรกันที่จะไปไม่พอใจซองยอลแบบนั้น ผมก็แค่เพื่อนร่วมงานแค่อดีตคนเทรนงานก็เท่านั้น
ผมหน้าตาบึ้งตึงตั้งแต่เช้ายันเที่ยงไม่ยอมพูดจากับใคร
ผมยอมรับว่าผมหงุดหงิดและไม่ชอบใจจริงๆแม้จะคอยบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าผมไม่มีสิทธิ์แต่ผมก็อดอารมณ์เสียไม่ได้
อาการแบบนี้เขาเรียกว่าหึงหรือเปล่านะ แล้วผมกล้าดียังไงที่จะไปหึงน้องเขา
น้องเขาเป็นอะไรกับผมงั้นหรอ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ
" พี่มยองซู
พี่มยองซู"
เสียงหวานอันคุ้นเคยปลุกผมให้ตื่นจากการจมกับความคิดอันแสนจะสับสนวุ่นวายของผม
ผมเงยหน้าจากงานที่ตั้งท่าเหมือนจะตั้งใจทำสบตากับเจ้าของใบหน้าน่ารักที่เป็นต้นเหตุให้ผมเป็นบ้าอยู่ในขณะนี้
" มีอะไรหรอซองยอล"
" พักเที่ยงแล้วไม่ไปกินข้าวหรอพี่มยองซู
ไปกินกันซองยอลไปด้วย"
" เอ่อ...ขอโทษนะซองยอล
พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระ ซองยอลไปกินกับเพื่อนๆนะ "
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปฎิเสธซองยอลไปแบบนั้น
ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรอที่จะได้ไปกินข้าวกับซองยอลสองคนเหมือนที่เคยทำ
อาจจะเพราะความรู้สึกที่แสนจะสับสนและว้าวุ่นในใจผมรุมเร้าผมมาถึงครึ่งค่อนวันก็เป็นได้ที่สั่งให้ผมพูดออกไปแบบนั้น
" อ้าว หรอ
ไม่เป็นไร เสียดายจัง" ซองยอลดูผิดหวังไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มสดใสให้ผมเหมือนเดิม
" งั้นพี่มยองซูไปเถอะ
"
ซองยอลเอ่ยก่อนจะเดินผละจากผมไป
ผมอยากจะร้องเรียกให้ซองยอลหันกลับมาและบอกว่าผมเปลี่ยนใจแล้วอยากจะไปกินข้าวกับซองยอล
แต่ผมก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียงมองตามร่างบางนั้นไป
สุดท้ายผมก็ต้องมาเดินเล่นฆ่าเวลาอยู่ที่ห้างเล็กๆที่อยู่ห่างออกมาจากออฟฟิตไปหน่อย
ก็ผมเล่นโกหกคำโตกับซองยอลเอาไว้หากซองยอลเห็นผมแถวๆออฟฟิตซองยอลก็ต้องจับได้ว่าผมโกหก
บรรยากาศในห้างวันนี้ตลบอบอวลไปด้วยความรัก
ร้านค้าส่วนมากจัดร้านต้อนรับวันวาเลนไทน์ บางร้านขายสินค้าสำหรับวันวาเลนไทน์
ตามทางเดินมีคู่รักหลายๆคู่เดินควงคู่กันอย่างมีความสุข ผมมองภาพนั้นแล้วรู้สึกแอบเศร้าในใจเล็กน้อย
สองขาของผมมาหยุดลงที่หน้าร้านๆหนึ่งผมจับจ้องไปหยุดที่ตุ๊กตาหมีขนปุยสีขาวผูกโบว์สีชมพูเล็กๆน่ารักตัวหนึ่ง
" เหมาะกับซองยอลดีเนอะ
"
ผมบอกกับตัวเองเบาๆ
แต่พลันความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงักลง คนอย่างผมจะไปกล้าซื้อของให้ซองยอลได้ยังไง
ผมจะบอกซองยอลว่าให้ตุ๊กตาตัวนี้ในฐานะอะไรกัน
แค่คิดผมก็อดสะท้อนใจไม่ได้
ผมหันหนีจากภาพตรงหน้าแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
บ่ายแล้วผมกลับมาทำงานที่บริษัทต่อ ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานกับเอกสารบนโต๊ะแบบไม่สนใจใคร
นานๆครั้งผมจะเงยหน้าขึ้นมาแอบมองซองยอลที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทีนึง
ซองยอลเองก็ดูตั้งอกตั้งใจกับงานตรงหน้า ใบหน้าน่ารักนั้นคิ้วขมวดเป็นปมเล็กน้อยน่าจะเครียดกับงานในมืออยู่สินะ
ผมละสายตามาจากร่างบางนั้นก่อนจะหยิบแม็คมาเย็บเอกสารในมือแต่ลูกแม็คกลับหมดผมจึงเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะเปิดออกเพื่อจะหยิบลูกแม็คมาใส่
พลันผมก็รู้สึกแปลกใจเมื่อพบกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจผูกโบว์สีชมพูวางไว้ในลิ้นชักนั้น
ผมหยิบกล่องนั้นขึ้นมาดูด้วยความสงสัย ใครกันเอากล่องช็อกโกแลตมาให้ผม
ผมพลิกมันดูไปมาก่อนจะเปิดการ์ดเล็กๆที่ห้อยอยู่มุมกล่องออกอ่าน
ในการ์ดมีอักษรพิมพ์แล้วตัดมาแปะเขียนเอาไว้ว่า "Happy Valentine's Day"
" แหนะ!!!
มยองซู สาวที่ไหนให้ช็อกโกแลตเนี่ย "
พี่ดงอูเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่เดินผ่านโต๊ะทำงานผมเข้าพอดีแล้วเห็นเข้าจึงทักด้วยน้ำเสียงอันดังตามนิสัยจนคนต่างหันมามองกันหมด
" ไม่รู้เหมือนกันครับ
มันอยู่ในลิ้นชักผม " ผมตอบพี่ดงอูไป
" ว้าวๆ
ไว้ในลิ้นชักเลยหรอ คนให้น่ารักอ่ะ แปลว่ามีคนแอบชอบนายอยู่นะเนี่ย "
พี่อูฮยอนเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อีกคนที่นั่งโต๊ะทำงานติดกับผมลุกมาดูแล้วทักอย่างสนใจหยิบกล่องไปดู
" คงไม่ใช่ของผมมั้งครับ
น่าจะไว้ผิดโต๊ะ"
ผมเอ่ยกับพี่อูฮยอนส่วนสายตาผมก็ชำเลืองมองดูซองยอลเล็กน้อย
ซองยอลมองมาที่กลุ่มผมแวบนึงแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์คอมพิวเตอร์ต่อไป
นี่ผมคิดอะไรกัน นี่ผมแอบคิดเอาเองว่าซองยอลอาจจะรู้สึกอะไรบ้างที่มีคนมาสนใจผม
แต่เปล่าเลยน้องไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ผมคงคิดเองเออเองสินะ
“จะไม่ใช่ได้ไง ของเรานั่นแหละ
ใครมันจะไปบ้าใส่ลิ้นชักผิดโต๊ะขนาดนั้น”
พี่ดงอูเอ่ยอย่างแสดงความเห็น
“ถ้าไม่มีเจ้าของเดี๋ยวพี่ยึดนะ
ของชอบพี่เลยช็อกโกแลตเนี่ย” พี่อูฮยอนเอ่ยกับผม
“ เอาสิครับ
ถ้าพี่อูฮยอนชอบก็เอาเลยตามสบาย ผมไม่ค่อยชอบกินช็อกโกแลตอยู่แล้ว”
ผมตอบพี่อูฮยอนไปตามประสาคนที่ไม่หวงของอยู่แล้ว
“ พูดเล่นน่ะ ใครจะไปกินลง
คนให้เขาตั้งใจให้นาย พี่จะไปกินได้ไง”
พี่อูฮยอนเอ่ยแล้วยิ้มให้ผมก่อนจะวางกล่องช็อกโกแลตนั้นลงบนโต๊ะของผมก่อนจะกลับไปทำงานที่โต๊ะต่อซึ่งไม่ต่างกับพี่ดงอูที่ยิ้มให้ผมบางๆก่อนจะเดินออกไป
ผมก้มหน้าทำงานต่ออีกครั้งโดยไม่ได้ใส่ใจกับช็อกโกแลตกล่องนั้นต่อ
เลยเวลาเลิกงานมาค่อนข้างมากแล้ว
พนักงานส่วนใหญ่พากันกลับหมดแล้ว
พวกเขาคงจะรีบไปฉลองวันวาเลนไทน์กับคนรักสินะเหลือเพียงผมและพนักงานอีกไม่กี่คนในบริษัท
ผมพึ่งกลับออกมาจากห้องเก็บเอกสารหลังจากลงไปหาเอกสารอยู่พักใหญ่
ทั้งแผนกเหลือเพียงผมคนเดียว ผมมองโต๊ะของซองยอลอีกครั้งหลังจากพักกลางวันผมก็ไม่ได้พูดคุยกับซองยอลอีกเลยผมถอนหายใจออกมาเบาๆแล้ววางเอกสารที่ไปหามาจากห้องเก็บเอกสารลงบนโต๊ะ
หลังจากนั้นก็เก็บของบนโต๊ะจนเรียบร้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมาสะพายไหล่ผมเหลือบเห็นกล่องช็อกโกแลตกล่องนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะดังเดิมตั้งแต่ที่พี่อูฮยอนหยิบวางไว้ ผมจ้องมองมันเล็กน้อยเพราะยังนึกแปลกใจว่าใครกันเป็นคนเอามันมาใส่ไว้ในลิ้นชัก
ผมละความคิดนั้นทิ้งก่อนจะเดินไปปิดไฟในแผนกลงจนหมดแล้วเดินออกไป
ผมเดินมาถึงรถของผมที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัท
ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกุญแจรถออกมาก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ที่โต๊ะทำงานเพราะวางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนลงไปหาเอกสาร
ผมจึงปลดล็อคกุญแจรถเอากระเป๋าสะพายไปเก็บไว้ก่อนจะปลดล็อดรถแล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นลิฟท์ไปที่แผนกเอาโทรศัพท์มือถือผมเดินก้าวเข้าไปในแผนกพลันหูของผมก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างใน
มันดังมาจากทิศทางที่ตั้งของโต๊ะทำงานผม
“ นั่นใครนะ”
ผมเอ่ยปากถาม ด้วยความที่ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องภูติผีอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงเชื่อมั่นว่าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนเสียงเหมือนคนชนอะไรเข้าดังอีกครั้ง
น่าจะเป็นอะไรซักอย่างที่อยู่บริเวณโต๊ะของผม
ผมตัดสินใจเดินฝ่าความมืดตรงไปยังสวิตส์ไฟเพื่อเปิดมัน ความที่คุ้นเคยกับที่นี่มานานทำให้ผมเดินไปที่นั่นโดยไม่ยาก
เมื่อมือของผมสัมผัสสวิตส์ไฟทั้งหมดเปิดขึ้น พลันแสงไฟก็สว่างไสวไปทั่วทั้งแผนก
ผมตกใจกับภาพตรงหน้าเมื่อร่างบางของคนที่ทำให้ผมงุ่นง่านหงุดหงิดมาทั้งวันกำลังยืนอยู่ที่โต๊ะของผมใบหน้าสวยนั้นมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นผม
ทันทีที่เห็นว่าเป็นผมซองยอลก็รีบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังทันที
ผมก้าวเดินตรงไปหาซองยอลในทันทีก่อนจะเอ่ยถาม
“ ยังไม่กลับหรอซองยอล”
แต่เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ร่างบางนั้นผมก็ต้องแปลกใจระคนตกใจขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าบนใบหน้าน่ารักนั้นมีร่องรอยของคราบน้ำตาติดอยู่แม้จะเหมือนถูกเช็ดออกลวกๆจากผู้เป็นเจ้าของแล้วก็ตามแต่มันก็ยังปรากฏให้เห็นได้ชัด
“ ซองยอล เป็นอะไร นี่ร้องไห้หรอ”
ผมถามอย่างห่วงใย ซองยอลส่ายหน้าปฏิเสธผมไปมา
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
ผมเอ่ยถามซองยอลอีกครั้ง
ซองยอลทำเพียงแค่มองหน้าผมแล้วส่ายหน้าปฏิเสธผมอีกครั้ง
สีหน้าซองยอลดูไม่ค่อยดีนักเหมือนกำลังพยายามที่จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“ ไม่เป็นอะไร แล้วร้องไห้ทำไม
แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง”
ผมเอ่ยถามซองยอลอีกครั้งแล้วเริ่มสงสัยว่าอะไรบางอย่างที่ซองยอลซ่อนไว้ข้างหลังอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ซองยอลร้องไห้ก็เป็นได้
“ ม่ะ...ไม่มี”
ซองยอลรีบปฏิเสธผมก่อนจะรีบซ่อนมันไว้ด้านหลังให้มิดชิดมากไปอีก
“ พี่ไม่เชื่อ”
ผมตัดสินใจตรงเข้าไปที่ร่างของซองยอลก่อนจะแย่งของที่ซองยอลซ่อนไว้ข้างหลังออกมาดู
ซองยอลพยายามหลบหลีกผมไม่ยอมให้ผมแย่งมันมาได้แต่ด้วยแรงที่มีมากกว่าของผมสุดท้ายผมก็แย่งมันมาได้
พลันผมก็ต้องตกใจกับของในมือผมที่แย่งมาได้จากซองยอลมันคือกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจกล่องนั้น
“ กล่องช็อกโกแลต ?”
ผมอุทานออกมาก่อนจะจ้องหน้าซองยอลเพื่อต้องการคำตอบจากร่างบางซองยอลจ้องตอบผมด้วยสีหน้าที่เหมือนเด็กกำลังถูกจับผิด
ก่อนที่ซองยอลจะสะอื้นฮักร้องไห้ออกมา
“ ฮรึกกกกกกกก พี่มยองซูใจร้าย
ทำไมไม่สนใจช็อกโกแลตกล่องนี้เลย มันไม่มีค่าเลยใช่ไหม อยากจะยกให้ใครก็ได้
อยากจะทิ้งก็ทิ้ง”
ซองยอลพูดใส่ผมทั้งน้ำตา
คำพูดพวกนั้นทำให้หัวผมหมุนคว้างนี่ผมเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม
คำพูดพวกนั้นที่ผมได้ยินมันแปลว่าซองยอลคือเจ้าของกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจนั่นใช่ไหม
แปลว่าซองยอลเป็นคนตั้งใจให้ผมใช่ไหม
“
ช็อกโกแลตกล่องนี้เป็นของซองยอลงั้นหรอ”
ผมถามซองยอลย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
ซองยอลพยักหน้ารับผมเบาๆ
“ ซองยอลตั้งใจให้พี่ ?”
ผมถามย้ำอีกครั้งซองยอลพยักหน้ารับผมอีกครั้ง
“ โธ่ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว
พี่ขอโทษจริงๆพี่ไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร”
ผมเอื้อมมือไปเกลี่ยหยดน้ำตาบนใบหน้าสวยนั้นออกอย่างแผ่วเบาเพื่อเป็นการปลอบโยนคนตรงหน้า
“ แล้วทำไมไม่ให้พี่ตรงๆล่ะ
เอาไปไว้ในลิ้นชักทำไม หืม”
“
ก็ซองยอลตั้งใจจะให้พี่มยองซูตอนกลางวันที่ชวนไปกินข้าว แต่พี่มยองซูก็ไม่ยอมไป
ซองยอลไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยเอาไปแอบใส่ไว้ในลิ้นชัก”
ซองยอลเอ่ยกับผมใบหน้าน่ารักบุ้ยปากใส่ผมด้วยอาการงอนนิดๆ
“พี่ขอโทษจริงๆ อย่าโกรธพี่เลยนะ” ผมง้องอนคนตรงหน้า
“ ไม่โกรธก็ได้
แต่ห้ามพี่มยองซูเอาช็อกโกแลตกล่องนี้ไปยกให้คนอื่นอีกนะ
ซองยอลทำช็อกโกแลตเองเลยนะ พี่มยองซูต้องกินคนเดียว”
“ ได้ๆ พี่จะกินคนเดียว หายโกรธนะ”
ซองยอลพยักหน้าให้ผมเบาๆ
“
ว่าแต่ให้ช็อกโกแลตพี่วันวาเลนไทน์เนี่ย ซองยอลชอบพี่จริงๆหรอ ”
“ ไม่ชอบมั้ง
ทำให้ขนาดนี้ยังไม่รู้อีกหรอ”
ซองยอลกอดอกหน้ามุ่ยใส่ผม
แต่ผมมองยังไงก็ช่างน่ารัก นี่ผมต้องง้อเด็กแสนงอนอีกแล้วใช่ไหม
แต่ต่อให้ต้องง้องอนตลอดชีวิตผมก็ยอม
“
ก็พี่ไม่คิดนี่น่าว่าคนที่แสนจะน่ารักแบบซองยอลจะมาชอบคนอย่างพี่ได้ ”
ผมเอ่ยตามความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจมาโดยตลอด
“ ทำไมล่ะ พี่มยองซูน่ารักจะตายไป
รู้ไหมตอนซองยอลเจอพี่ครั้งแรกที่ทำกาแฟหกใส่นะ ซองยอลก็ชอบพี่มยองซูเลยนะ
พอรู้ว่าพี่มยองซูจะมาสอนงานซองยอลตื่นเต้นมากแค่ไหนรู้ไหม”
“ แต่พี่มยองซูก็ไม่มีทีท่าอะไรเลย
ทั้งๆที่ซองยอลพยายามสนิทด้วย
รู้ไหมซองยอลอึดอัดแค่ไหนเวลาต้องทำฟอร์มว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่มยองซู
จนสุดท้ายซองยอลก็ทนต่อไปไม่ไหวก็เลยตั้งใจว่าจะมาสารภาพกับพี่ในวันวาเลนไทน์
แต่พี่มยองซูกลับใจร้ายกับซองยอล ”
ซองยอลเอ่ยกับผมมาชุดใหญ่ผมโน้มใบหน้าของผมเข้าไปใกล้กับใบหน้าของซองยอล
อยากจูบสัมผัสริมฝีปากสวยอวบอิ่มที่แสนจะเย้ายวนนั้นเหลือเกิน
แต่ผมยังไม่มีความกล้ามากพอผมทำเพียงแค่แตะริมฝีปากของผมลงบนหน้าผากของซองยอลอย่างแผ่วเบาเนิ่นนานก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาสบตากับดวงตากลมโตคู่สวยนั้นที่จ้องตอบผม
แก้มใสทั้งสองข้างของร่างบางขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน
“ พี่ขอโทษนะซองยอล พี่ไม่รู้จริงๆ
” ผมเอ่ยบอกซองยอลอย่างแผ่วเบา
“ แล้วพี่มยองซูล่ะ
ชอบซองยอลบ้างไหม” ซองยอลเอ่ยถามผมดวงตามีแววใคร่รู้ปรากฏอย่างชัดเจน
“ ไม่ชอบ”
ผมตอบคำถามนั้น
ซองยอลนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของผม พร้อมเม้มปากแน่นอย่างต้องการสะกดอารมณ์
“ ไม่ชอบ แต่รักต่างหากล่ะ”
ผมรีบเอ่ยกับซองยอลก่อนที่เด็กน้อยตรงหน้าของผมจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ พี่มยองซู แกล้งซองยอลอีกแล้วนะ”
ซองยอลตีไปที่แขนผมรัวที่ถูกแกล้ง
“ พี่พูดจริง พี่น่ะตกหลุมรักซองยอลตั้งแต่ตอนที่ซองยอลทำกาแฟหกใส่
เขาเรียกว่ารักแรกพบหรือเปล่านะ
เพราะตั้งแต่วันนั้นหัวใจพี่มันก็เต้นแรงทุกครั้งที่เจอหน้าซองยอล ”
“
แต่พี่รู้ตัวว่าคนอย่างพี่มันไม่ดีพอที่จะให้คนอย่างซองยอลมารัก พี่ก็เลยทำได้แค่แอบรักซองยอลอยู่ข้างเดียวเท่านั้น
ขอบใจมากนะซองยอลที่มาชอบผู้ชายอย่างพี่ ถ้าซองยอลไม่ให้ช็อกโกแลตกล่องนี้ก่อน
พี่ก็ไม่รู้ว่าพี่จะมีความกล้าพอไหมที่จะบอกรักซองยอล”
“ ก็นี่ไง
พี่มยองซูก็กำลังบอกรักซองยอลอยู่ แล้วก็เลิกคิดว่าตัวเองไม่ดีพอได้แล้ว
ถ้าพี่มยองซูไม่ดีพอ ซองยอลจะไปชอบพี่ได้ไง จริงไหม ” ซองยอลยิ้มสดใสให้ผม
“ ถ้างั้นเราเป็นแฟนกันนะ ”
“ ขอคิดดูก่อนล่ะกัน ”
ซองยอลกอดอกอีกครั้งอย่างคนที่เหนือกว่า
“ อ้าว ไหนบอกว่าชอบพี่ไง ”
“ ก็ชอบไง
แต่ซองยอลชอบหนุ่มใส่แว่นหนาๆแต่งตัวธรรมดาๆมากกว่า ”
“ แล้วแบบนี้ไม่ชอบหรอ
นี่พี่ลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อซองยอลเลยนะ กว่าจะใส่คอนแท็คเลนส์นี่ได้
พี่เจ็บตาไปตั้งหลายวันเชียวนะ”
“ จริงหรอ
นี่พี่ทำเพื่อซองยอลเลยหรอ ” ซองยอลเอ่ยถามผมแต่ก็อมยิ้มอย่างชอบใจ
“ ก็ใช่นะสิ แต่ถ้าซองยอลไม่ชอบ
พี่กลับไปเป็นแบบเดิมก็ได้นะ ”
“ ไม่ต้องๆ
ไม่ว่าพี่มยองซูจะเป็นแบบไหนซองยอลก็ชอบหมดแหละ ดูสิเป็นแบบนี้ก็โอเคนะ
ดูสิแฟนใครกันหล่อจังเลย ” ซองยอลบีบแก้มผมอย่างหยอกล้อ
“ ตกลงเราเป็นแฟนกันนะ”
ผมเอ่ยขอซองยอลอีกครั้ง
“ อืม ”
ซองยอลพยักหน้าแล้วยิ้มน่ารักให้ผม
รอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มที่ทำให้ผมหลงใหลและตกอยู่ในภวังค์
ผมอดใจเอาไว้ต่อไปไม่ได้แล้วผมเอื้อมมือไปเชยคางซองยอลเอาไว้แล้วค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปหาซองยอลอย่างช้าๆก่อนจะจรดริมฝีปากของผมทาบทับลงไปบนริมฝีปากอวบอิ่มสีเชอร์รี่นั่น
ซองยอลหลับตาลงเมื่อได้รับรสสัมผัสนั้น ผมทาบทับจูบนั้นอยู่เนิ่นนานแม้จะไม่ได้รุกล้ำเข้าไปด้านในแต่มันช่างหอมหวานเหลือเกิน
หวาน หวานจนผมไม่อยากจะถอนจูบนั้นออกมาแต่สุดท้ายผมก็ต้องถอนจูบนั้นออกมาอย่างแสนเสียดาย
ซองยอลลืมตาขึ้นมาสบตาผมแก้มใสทั้งสองข้างของซองยอลตอนนี้ขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขินอายเป็นที่สุด
“ พี่มยองซูบ้า คนฉวยโอกาส ” ซองยอลรัวมือตีแขนผมด้วยความเขิน
“ ก็เราเป็นแฟนกันแล้วนี่น่า
คนเป็นแฟนกันเขาก็ทำกันแบบนี้กันทั้งนั้น ”ผมท้วงซองยอล
“ ไม่ต้องเลย
คอยดูนะซองยอลจะฟ้องพี่ซองกยู ” ซองยอลยกเอาผู้เป็นพี่ชายมาขู่ผม
“ ฟ้องสิ
ถ้าซองยอลฟ้องพี่ทำมากกว่านี้อีกนะ ”
ผมขู่ซองยอลกลับพร้อมกับรั้งร่างบางนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหา
ซองยอลหลับตาปี๋เมื่อใบหน้าผมเข้าใกล้เข้าไปทุกที
ผมยิ้มกับท่าทางของซองยอลอย่างเอ็นดูก่อนจะจรดริมฝีปากของผมลงบนแก้มป่องๆนั้นแทนก่อนจะปล่อยร่างของซองยอลให้เป็นอิสระ
“ งั้นมัดจำไว้แค่นี้ก่อน
คราวหน้าพี่จะมาเอาคืน ”
ผมเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเมื่อแกล้งคนตรงหน้าได้
ซองยอลจับแก้มของตัวเองด้วยความเขินก่อนจะบุ้ยปากงอนใส่ผม
“ แกล้งซองยอลอีกแล้วนะ งอนแล้ว ”
“
งั้นสงสัยพี่ต้องหาวิธีง้อแบบใหม่ซะล่ะ ”
ผมแกล้งขู่ซองยอลอีกครั้ง แล้วขยับตัวเข้าหา
ซองยอลขยับตัววิ่งหนีผมทันที
“ อย่านะ ซองยอลไม่เล่นแล้ว
พี่มยองซูบ้า พี่มยองซูหื่น ซองยอลจะกลับบ้านแล้ว แบร่ ”
ซองยอลวิ่งหนีผมไปได้ก่อนจะตะโกนใส่ผมแลบลิ้นให้ก่อนจะวิ่งหนีหายออกไป
นี่ซองยอลบอกว่าผมหื่นหรอ
ผมยืนขำกับคำพูดนั้นของซองยอลอยู่คนเดียว นี่ผมกลายเป็นคนหื่นในสายตาของซองยอลไปแล้วหรือนี่
แต่ไม่เป็นไรหรอกก็ไม่ใช่เพราะซองยอลเองนะหรอที่ทำให้คนอย่างผมเปลี่ยนแปลงไปมากได้ถึงขนาดนี้
ถ้าผมจะหื่นล่ะก็ผมก็คงหื่นใส่แค่ซองยอลคนเดียวนั่นแหละ ผมพูดจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น