วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

คนพิเศษ



สวัสดีครับ ชื่อของผมคืออีซองยอล  ผมเรียนจบแล้วและผมค่อนข้างโชคดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆตรงที่ผมได้งานทำในทันทีที่เรียนจบ นั่นก็เพราะว่าผมมีพี่ชายเป็นถึงเจ้าของบริษัท พี่คิมซองกยูเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมเราค่อนข้างสนิทกันเพราะเติบโตมาด้วยกัน แม้ผมจะอายุห่างกับพี่ซองกยูค่อนข้างมากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความผูกพันระหว่างเราลดน้อยลง ด้วยความที่พี่เขาค่อยข้างห่วงใยในตัวผมพี่ซองกยูจึงเป็นคนจัดการพาผมเข้ามาทำงานในบริษัทของพี่เขาทั้งๆที่ใบรับรองวุฒิปริญญายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หลายๆคนอาจจะคิดว่าผมเป็นเด็กฝาก มันก็อาจจะเป็นความจริงในส่วนหนึ่งแต่มันก็ไม่ได้ถูกไปทั้งหมดเพราะตำแหน่งที่ผมได้รับนั้นก็เป็นแค่พนักงานเล็กๆคนหนึ่งที่ต้องได้รับการเทรนงานและต้องทดลองงานเป็นเวลา 3 เดือนเหมือนๆกับพนักงานคนอื่นๆก่อนที่จะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำของบริษัท

 

ผมนั้นยังโสดสนิทซ้ำตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีคนรักมาก่อน  จริงอยู่ที่มีคนมากหน้าหลายตาต่างพากันแวะเวียนเข้ามาจีบผม  แต่น่าแปลกที่ผมไม่เคยถูกใจหรือรู้สึกสนใจใครซักคนเป็นพิเศษ จนคนพวกนั้นต่างคิดว่าผมถือว่าตัวเองหน้าตาดีแล้วหยิ่ง ผมเปล่าหยิ่งนะผมแค่ยังไม่รู้สึกพิเศษกับใครหรือพูดง่ายๆก็คือยังไม่มีใครที่จะทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรง  อยากมองหน้าสบตาเขาอยากใกล้ชิดเขา หรือคิดถึงเขาตลอดเวลาหรือว่าเพราะผมจะอ่านนิยายคลาสสิกแสนโปรดของผมมากเกินไป  ผมถึงได้เพ้อฝันมากมายขนาดนี้  ส่วนเรื่องหน้าตาดีเรื่องนี้ผมต้องโมโหในทุกครั้งที่นึกถึง หน้าตาผมก็แสนธรรมดาจะตายไปแต่หงุดหงิดตรงที่หน้าตาผมนั้นหวานเหมือนผู้หญิงมากไปหน่อยหลายๆคนก็เลยชอบคิดว่าผมเป็นผู้หญิงตลอด  ผมล่ะไม่ชอบใจเลยจริงๆ

 

แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้พบกับผู้ชายที่ทำให้ผมรู้สึกพิเศษ ผู้ชายที่ทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรงตั้งแต่แรกพบ  ผู้ชายที่ผมอยากอยู่ใกล้ชิดเขามองหน้าเขาและสบตาเขา  วันเริ่มงานวันแรกวันนั้นผมนั่งรถมาบริษัทกับพี่ซองกยูแต่เช้าเพราะพี่ซองกยูมีงานด่วนที่ต้องรีบสะสาง ด้วยความที่เห็นผู้เป็นพี่ชายต้องเคร่งเครียดแต่เช้าผมจึงอาสาออกไปชงกาแฟมาให้โดยลืมไปว่าผมพึ่งมาที่นี่เป็นวันแรกทำไมผมถึงไม่ถามพี่ชายผมก่อนล่ะ ว่าห้องสำหรับชงกาแฟอยู่ตรงจุดไหน ผมยืนหันรีหันขวางไปมาจนทำซุ่มซ่ามชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งจนกาแฟในมือของเขาหกรดใส่เสื้อเปรอะเปื้อน ผมตกใจมากรีบคว้าผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อเช็ดรอยเปื้อนด้วยความตกใจพร้อมเอ่ยขอโทษเขาอย่างรู้สึกผิด แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา สบตาเขา ใจผมก็เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าหล่อคม ดวงตาดำสนิท จมูกโด่งได้รูปที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นอันโตแสนเชยนั้นไม่ได้ทำให้รัศมีความเปล่งประกายจากเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด ไหนจะปากหยักเป็นกระจับได้รูปนั่นอีกล่ะ มันทำให้ผมใจเต้นแรงมากขึ้นไปอีกจนเหมือนมันจะทะลุออกมานอกอกเสียให้ได้  ก่อนที่ผมจะไม่มีสติไปมากกว่านี้  ผมรีบเอ่ยขอโทษเขาแล้วยังจะเผลอยิ้มกว้างให้เขาอีก  น่าอายจริงๆ  ก่อนที่เขาจะเดินห่างออกไป ผมกลับมาที่ห้องทำงานของพี่ซองกยูพร้อมกับแก้วกาแฟแล้วนั่งใจลอยอยู่อย่างนั้นจนเกือบไม่ได้ยินพี่ซองกยูบ่นผมเรื่องรสชาติของกาแฟที่ผมชงให้แย่กว่าปกติ

 

“ ห่ะ !!! พี่ซองกยูว่าอะไรนะครับ ”

 

“ พี่บอกว่าทำไมวันนี้เราถึงชงกาแฟไม่ได้เรื่องเลย  ฝีมือตกไปเยอะนะ ”

 

“ อ่ะ จริงหรอครับ ผมขอโทษ งั้นเดี๋ยวผมไปชงให้ใหม่นะ ”

 

“ ไม่ต้องหรอกซองยอล พอกินได้อยู่ เรานั่งอ่านหนังสือตรงนั้นไปก่อนนะ ขอพี่เคลียร์งานแป๊บนึง ”

 

ผมพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหยิบหนังสือนิตยสารที่ตั้งไว้บนโต๊ะแถวโซฟามานั่งอ่านฆ่าเวลาแต่ในใจผมก็อดคิดถึงดวงหน้าของผู้ชายคนนั้นวนเวียนเข้ามาอยู่ในความคิดไม่ได้  จนเวลาล่วงเลยเกือบ 11 โมง พี่ซองกยูก็เสร็จงานก่อนจะรวบรวมงานที่ทำทั้งหมดส่งคืนให้กับลูกน้องของตนที่เข้ามารับงานในห้องเพื่อเอากลับไป

 

" เรียกมยองซูมาหาฉันด้วย "

พี่ซองกยูเอ่ยสั่งกับลูกน้องคนนั้นก่อนที่เขาจะออกจากห้องไป

 

" เสร็จแล้วหรอครับ "  ผมลุกเดินจากโซฟามาหาพี่ซองกยูที่โต๊ะ

 

“ อืม พี่ให้คนไปตามคนที่จะเทรนงานให้ซองยอลแล้วนะ เขาชื่อมยองซู ทำงานเก่งใช้ได้เลย มีอะไรก็ปรึกษาเขานะ ” พี่ซองกยูเอ่ยกับผม

 

“ ครับ ”

 

สักพักหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น  ผมหันไปมองตามเสียงนั่นแล้วใจผมก็ต้องเต้นแรงตึกตักขึ้นอีกครั้งเมื่อร่างสูงของคนที่เปิดประตูเข้ามานั้นคือผู้ชายคนนั้น ผู้ชายสวมแว่นที่ผมซุ่มซ่ามทำกาแฟหกใส่เขากำลังเดินเข้ามาในห้องเดินตรงมาหาพี่ซองกยูผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากส่งยิ้มให้กับเขาเพื่อลดอาการประหม่าที่กำลังเล่นงานผม

 

หลังจากพี่ซองกยูฝากฝังผมกับพี่มยองซูเรียบร้อยแล้ว  ผมก็เดินตามเขามาที่โต๊ะเพราะผมต้องนั่งโต๊ะร่วมกับพี่มยองซูตลอดที่ต้องเทรนงานกัน  พี่มยองซูตั้งใจสอนงานผมอย่างจริงจัง ผมตั้งใจฟังพี่เขาก็จริงแต่ด้วยระยะห่างระหว่างเรามันใกล้มากจนเกินไปผมอดที่จะเท้าคางแอบมองหน้าพี่มยองซูไม่ได้เวลาที่เขาไม่รู้ตัว  ใบหน้าหล่อๆภายใต้แว่นเชยๆนั้นทำไมถึงช่างน่ามองขนาดนี้นะ แต่พอพี่มยองซูเงยหน้ามองมาทางผม ผมก็แก้เก้อด้วยการทำเป็นก้มหน้าก้มตาจดเล็กเชอร์ลงบนสมุดเล่มเล็กเพื่อไม่ให้พี่เขาสงสัย

 

ใกล้เที่ยงแล้วพี่ซองกยูโทรมาชวนผมไปกินข้าวข้างนอกแต่ผมปฎิเสธพี่เขาโดยอ้างด้วยเหตุผลง่ายๆว่าผมขี้เกียจแต่จริงๆแล้วผมอยากไปกินข้าวกับพี่มยองซูมากกว่า ผมเดินหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้องน้ำตัดสินใจอยู่ตั้งนานไม่กล้าชวนพี่มยองซูเพราะกลัวว่าพี่เขาจะมองว่าผมใจง่ายให้ท่าเขาหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็ทนกับเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว ผมใจกล้าหน้าด้านเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วเอ่ยชวนพี่มยองซูเสียดื้อๆซ้ำยังลากชื่อพี่ซองกยูมาเป็นข้ออ้างว่าพี่ซองกยูติดธุระเพื่อไม่ให้พี่มยองซูสงสัย ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จผมได้ไปกินข้าวกับพี่มยองซูเป็นครั้งแรกสมใจ

 

ผมพยายามทำทุกวิธีทางที่จะได้ใกล้ชิดพี่มยองซู หาโอกาสออกไปกินข้าวกับพี่เขาบ่อยๆ ด้วยหวังว่าพี่เขาจะสนใจและหันกลับมามองที่ผมบ้าง แต่ผมก็ต้องผิดหวัง ตลอดเวลาเกือบ 4 เดือนที่ผ่านมาพี่มยองซูไม่เคยมีทีท่าว่าจะคิดอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย  ผิดกับผมที่กลับรู้สึกรักและผูกผันกับพี่เขามากขึ้นทุกวัน และยิ่งตอนนี้ผมเริ่มห่างไกลจากพี่มยองซูมากขึ้นทุกที พี่มยองซูหมดหน้าที่ในการเทรนงานให้ผมแล้ว ซ้ำผมยังต้องย้ายออกมานั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเองทั้งๆที่ในใจนั้นยังอยากนั่งร่วมโต๊ะตัวนั้นกับพี่มยองซู

 

และสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นนั่นก็คือพี่มยองซูดูเปลี่ยนไป เขาเริ่มแต่งตัวตามแฟชั่นมากขึ้น แว่นตาอันโตแสนเชยที่เขาเคยใส่ทุกๆวันก็ถูกแทนที่ด้วยคอนแท็คเลนส์  โดยปกติแล้วพี่มยองซูก็เป็นคนที่หน้าตาดีอยู่แล้วยิ่งเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบนี้ก็ยิ่งดูหล่อเหลาสะดุดตามากขึ้นไปอีก  ทำให้บรรดาสาวๆในบริษัทต่างพากันตื่นเต้นกันใหญ่ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไปกันใหญ่แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ก็พี่มยองซูไม่ได้เป็นอะไรกับผมซักหน่อย

 

ใกล้วันวาเลนไทน์เข้ามาทุกที  ผมตัดสินใจที่จะสารภาพรักพี่มยองซูในวันวาเลนไทน์ถึงแม้อาจจะต้องถูกปฎิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยจากพี่มยองซูก็ตาม ก่อนวันวาเลนไทน์ผมทำการศึกษาวิธีทำช็อกโกแลตจากเว็บไซด์และหนังสือต่างๆ  และในคืนก่อนวันวาเลนไทน์นั้นผมก็นั่งทำช็อกโกแลตทั้งคืนแม้รสชาติและหน้าตามันจะดูไม่สวยงามซักเท่าไร แต่ผมก็ได้แต่หวังว่าพี่มยองซูจะชอบและรับมันไป ผมค่อยๆบรรจุช็อกโกแลตลงในกล่องรูปหัวใจอย่างเบามือ  หยิบการ์ดออกมาจะเขียนแต่กลัวว่าลายมือตัวเองจะสวยไม่พอ  ผมจึงเปลี่ยนไปใช้พิมพ์อักษรแล้วนำมาแปะลงไปแทน  ผมกอดกล่องช็อกโกแลตนั้นอย่างมีความสุข  รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

 

ในวันรุ่งขึ้นวันวาเลนไทน์วันที่ผมรอคอย  ผมคอยหาโอกาสที่จะให้ช็อกโกแลตกล่องนั้นกับพี่มยองซูแต่ก็ไม่มีโอกาสให้ซักทีเพราะดูวันนี้พี่มยองซูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดี ผมนั่งมองบรรดากล่องช็อกโกแลต กล่องของขวัญ  ช่อดอกไม้และการ์ดต่างๆที่มีคนนำมันมาให้ผมแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่คนเดียว ของบนโต๊ะพวกนี้มีตั้งมากมายแต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจซักนิดถ้ามันไม่มีของพี่มยองซู ก่อนพักกลางวันผมตัดสินใจเดินไปชวนพี่มยองซูกินข้าวด้วยกันด้วยหวังว่าผมจะได้มีโอกาสมอบช็อกโกแลตกล่องนั้นให้พี่มยองซูแต่ผมก็ต้องผิดหวังและเสียใจเมื่อพี่มยองซูปฎิเสธผมเพราะติดธุระ ผมนั่งซึมอยู่ที่โต๊ะของผมตั้งนานไม่ยอมไปออกไปพักกลางวันก่อนจะตัดสินใจในช่วงที่ไม่มีใครอยู่ในแผนกนำช็อกโกแลตกล่องนั้นไปแอบใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะของพี่มยองซู

 

ช่วงบ่ายผมนั่งทำงานไปใจก็เต้นระรัวไปแอบลุ้นให้พี่มยองซูเปิดลิ้นชักแล้วเห็นกล่องช็อกโกแลตกล่องนั้น  ในที่สุดผมก็สมหวังพี่มยองซูเห็นช็อกโกแลตกล่องนั้น แต่กลับไม่ใส่ใจมันซ้ำยังจะยกให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นอีก ผมรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจมากหันไปมองพี่มยองซูแวบนึงก่อนจะหันมาทำทีตั้งใจทำงานพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาให้ใครเห็น

 

หลังเลิกงานวันนั้น ผมแอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บนดาดฟ้าบริษัทอยู่นานสองนานจนพลบค่ำ ผมจึงกลับลงมาที่แผนกแต่ก็ต้องรีบหลบพี่มยองซูที่กำลังเก็บของเตรียมจะกลับบ้านเพราะกลัวว่าเขาจะสงสัยที่ดวงตาของผมแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อพี่มยองซูออกไปแล้ว ผมก็เดินฝ่าความมืดเข้าไปในแผนกโดยมีแสงไฟจากนอกตึกสาดเข้ามาเล็กน้อยให้ผมพอคลำทางไปได้  ผมตัดสินใจตรงไปที่โต๊ะพี่มยองซูเพื่อเอาช็อกโกแลตกล่องนั้นคืนมา  ผมกอดช็อกโกแลตกล่องนั้นไว้แนบอกแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจแต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนใกล้เข้ามา ผมทำอะไรไม่ถูกพยายามหาที่หลบแต่ด้วยเพราะห้องนั้นมืดเกินไปผมจึงชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนมันหล่นลงพื้นเกิดเสียงขึ้นมา

 

นั่นใครนะ

 

นั่นคือเสียงพี่มยองซูผมจำเสียงของเขาได้ดี  ผมจะทำยังไงดี ผมรีบใช้มือปาดน้ำตาบนหน้าออกลวกๆแต่ก็ยังซุ่มซ่ามเผลอชนอะไรเข้าอีกจนเกิดเสียงดัง  หลังจากนั้นไฟในห้องก็สว่างขึ้นด้วยมือของพี่มยองซู  ผมรีบซ่อนกล่องช็อกโกแลตไว้ข้างหลังผมทันที พี่มยองซูดูจะแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นผมและทำท่าตกใจเมื่อเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วสังเกตเห็นว่าผมร้องไห้ เขาคาดคั้นผมแต่แฝงไปด้วยความห่วงใย ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ส่ายหน้าไปมา  สุดท้ายเมื่อพี่มยองซูสังเกตเห็นว่าผมซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง  พี่มยองซูก็ตรงเข้ามาแย่งกล่องช็อกโกแลตที่ผมซ่อนไว้ไปดูจนได้ เมื่อความแตกผมได้แต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ความเสียใจและน้อยใจทั้งหมดที่กักเก็บเอาไว้มาตั้งแต่ช่วงบ่ายผมระเบิดมันออกมาหมดโดยไม่สนอีกแล้วว่าพี่มยองซูจะโกรธหรือเกลียดผมก็ตาม แต่แล้วผมก็มีความสุขเหมือนฝันเมื่อได้รู้ความจริงจากปากของพี่มยองซูเองว่าจริงๆแล้วผมและพี่มยองซูใจเราตรงกัน พี่มยองซูเองก็รักผมเหมือนกันเพียงแต่พี่เขาเองก็ไม่กล้าที่จะสารภาพกับผม ถ้าไม่ใช่ช็อกโกแลตกล่องนั้นเราก็คงไม่ได้เปิดเผยความในใจซึ่งกันและกัน  เราสองคนตกลงคบเป็นแฟนกันในคืนนั้นนั่นเอง

 

ผมกับพี่มยองซูแอบคบกันโดยไม่บอกใครโดยเฉพาะพี่ซองกยู  แต่ความลับก็ไม่มีในโลก  ในบ่ายวันหนึ่งขณะที่ทุกคนในแผนกกำลังทำงานกันตามปกติ  อยู่ดีๆพี่ซองกยูก็เดินเข้ามาในแผนกด้วยหน้าตาที่บึ้งตึงก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของพี่มยองซูก่อนจะจ้องพี่มยองซูนิ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบจนดูน่ากลัว

 

“ มยองซู  ออกมาคุยกับฉันหน่อย ”

 

“ ครับ ”

 

พี่มยองซูรับคำพี่ซองกยูแล้วเดินตามพี่ซองกยูออกไปข้างนอก  ผมใจหายวาบเมื่อสบเข้ากับแววตาของพี่ซองกยูที่มองมาที่ผมแวบนึง  แววตาที่ดูนิ่งสงบเยือกเย็นจนน่ากลัวแต่แฝงไปด้วยความโกรธระคนอยู่ในนั้น  ผมรู้จักพี่ซองกยูดีแววตาแบบนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่าง  เมื่อคิดได้ดังนั้นผมรีบผุดลุกขึ้นแล้วเดินแกมวิ่งตามคนทั้งคู่ไปในทันที  ผมเห็นพี่ซองกยูและพี่มยองซูหายเข้าไปในลิฟท์ผมเดาว่าทั้งคู่น่าจะขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้า  ผมรีบกดปุ่มเรียกลิฟท์อีกตัวเพื่อจะตามขึ้นไปบนนั้น

 

ที่ดาดฟ้าผมตามพี่ซองกยูกับพี่มยองซูขึ้นมาติดๆแต่ไม่กล้าเข้าไป  ผมรอดูสถานการณ์ของทั้งคู่อยู่ห่างๆแต่ก็อยู่ในระยะที่ใกล้มากพอที่จะได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองได้อย่างถนัด

 

“ บอสมีอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ ถึงเรียกผมขึ้นมาคุยที่นี่ ”

 

“ สำคัญนะหรอ ก็ต้องสำคัญสิ ว่าแต่นายเถอะมยองซู นายมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่า ”

พี่ซองกยูเอ่ยเสียงเรียบกับพี่มยองซู ใบหน้าดูเคร่งขรึมจนน่าอึดอัด

 

“ เอ่อ ไม่มีครับ ”  พี่มยองซูตอบพี่ซองกยูไปแบบนั้น

 

“ แน่ใจนะว่าไม่มี ” 

พี่ซองกยูถามเสียงเรียบอีกครั้ง ดวงตาเรียวเล็กส่องประกายของความไม่พอใจออกมา

 

“ เอ่อ ไม่มีจริงๆครับ ”

 

ฉับพลันหลังจากพี่มยองซูเอ่ยประโยคนั้นจบลง  พี่ซองกยูก็สาดหมัดที่กำแน่นของตนพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งปากของพี่มยองซูพอดี  แรงหมัดที่รุนแรงทำให้พี่มยองซูหมุนคว้างเสียหลักลงไปกองที่พื้นในทันที  ผมตกใจกับภาพตรงหน้ารีบสาวเท้าวิ่งตรงไปหาคนทั้งคู่ทันที  ผมปราดเข้าไปประคองร่างพี่มยองซูที่นั่งอยู่กับพื้น  มุมปากของพี่มยองซูเริ่มมีเลือดซึมออกมาให้เห็น ผมเงยหน้ามองพี่ซองกยูด้วยความไม่พอใจ

 

“ หมัดแรกสำหรับความบังอาจของแกคิมมยองซู แกกล้าดียังไงมาล่อลวงซองยอล ”

พี่ซองกยูตวาดเสียงดังใส่แล้วทำท่าจะกระชากพี่มยองซูมาต่อยอีกครั้ง  ผมเอาตัวขวางพี่มยองซูเอาไว้

 

“ อย่านะพี่ซองกยู อย่าทำพี่มยองซู ”

 

“ แกไม่ต้องยุ่งเลยอีซองยอล  แกก็เหมือนกัน ฉันเคลียร์กับไอ้มยองซูจบ แกจะเป็นรายต่อไป ”

พี่ซองกยูเอ่ยกับผมด้วยความโกรธ

 

“ ไม่!!!  ซองยอลไม่ยอมให้พี่กยูทำพี่มยองซูนะ ซองยอลรักเขา ซองยอลเป็นฝ่ายรักเขาเอง พี่มยองซูไม่ผิด ”

 

“ นี่แกเอ่ยปากตะโกนบอกรักเขาได้ไม่อายปาก ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีน้องอย่างแก ”

 

“ ซองยอลก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะมีพี่ชายใจร้ายและไร้เหตุผลแบบพี่เหมือนกัน ”

ผมตะโกนเถียงพี่ซองกยูกลับด้วยความโกรธเช่นกัน

 

“ พอแล้วซองยอลไม่เอาน่า ”

พี่มยองซูจับข้อมือผมเอ่ยห้าม  เขาส่ายหัวให้ผมเบาๆไม่ให้ผมเถียงพี่ชาย

 

“ แต่... ”  ผมส่ายหัวปฎิเสธพี่มยองซู

 

“ พี่จะคุยกับคุณซองกยูเอง ”

พี่มยองซูเอ่ยกับผมก่อนจะลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่ซองกยู  ผมยืนขึ้นข้างๆเขาสายตามองไปที่พี่ซองกยูนิ่ง  ผมกลัวพี่ซองกยูจะทำอะไรพี่มยองซูอีก  พี่มยองซูโค้งศีรษะขอโทษพี่ซองกยูก่อนจะเอ่ยกับพี่ซองกยูด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

“ คุณซองกยูผมต้องขอโทษที่ปกปิดเรื่องนี้กับคุณ  ผมตั้งใจว่าจะบอกคุณแต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา ”

 

“ อ๋อ ต้องรอให้ฉันรู้เองสินะ แกถึงจะบอกฉันได้ ” ซองกยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

“ ผมรู้ว่าผมผิด  แต่ผมรักและจริงใจกับซองยอลจริงๆนะครับ ”

 

“ แกไม่มีสิทธิ์  คนอย่างแกไม่เหมาะกับซองยอล แค่แกใช้ความเชื่อใจของฉันที่ให้ดูแลซองยอล ทำแบบนี้กับฉันมันก็มากพอล่ะ อย่าให้ฉันไม่พอใจยิ่งกว่านี้ ”

 

“ ผมรู้ว่าผมต่างกับซองยอลมาก แต่ได้โปรดให้โอกาสผมเถอะ ผมรักซองยอลจริงๆ ผมสัญญาว่าจะดูแลซองยอลอย่างดี ” 

 

“ ไม่มีประโยชน์คิมมยองซู  ยังไงฉันก็ไม่ยอมรับในตัวแก ฉันเห็นแก่ความดีที่แกทำให้กับบริษัท ฉันจะไม่ไล่แกออกก็ได้  แต่แกต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับซองยอลเด็ดขาด ”

พี่ซองกยูเอ่ยคำดุจประกาศิต

 

“ พี่ซองกยู  ไม่นะ  เราสองคนรักกัน  ซองยอลไม่ยอม ”  ผมพยายามร้องห้ามพี่ชาย

 

“ ต่อไปนี้ซองยอลจะไม่มาทำงานที่นี่อีก  เพราะเค้าต้องเตรียมตัวเข้าพิธีหมั้น ”

 

พี่ซองกยูเอ่ยคำสุดท้ายก่อนจะตรงเข้ามากระชากตัวผมออกไปผมพยายามดิ้นรนจากการเกาะกุมแต่สู้แรงพี่ซองกยูไม่ได้  ผมมองพี่มยองซูจนลับสายตาเห็นแววตาเจ็บปวดในแววตานั้นผมยิ่งปวดใจมากกว่า  แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกแรงดิ้นรนจากพี่ชายไปตลอดทางจนเขาจับผมยัดใส่รถขับกลับไปที่บ้านแล้วลากผมไปขังไว้ในห้องนอนของผมเอง  โทรศัพท์มือถือก็ถูกยึด  ผมได้แต่กอดเข่านั่งร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างหมดหนทาง นี่มันยุคไหนกันแล้ว  ทำไมพี่ซองกยูถึงยังหัวโบราณและเผด็จการ  ทำไมยังมายึดถือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆอีก  ผมเองก็ไม่ได้ต่างกับพี่มยองซูมากมายเลย  จริงอยู่ว่าฐานะครอบครัวของผมอาจจะเหนือกว่าพี่มยองซูแล้วมันสำคัญตรงไหนในเมื่อผมและพี่มยองซูรักกัน  ผมได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบหน้าในใจก็นึกเป็นห่วงคนที่ผมจากมาว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

 

ผมประชดชีวิตด้วยการไม่ยอมกินอะไรเลยมาหลายวัน  สุดท้ายผมก็ล้มป่วยลงและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในที่สุด  ผมโกรธพี่ซองกยูมากจนไม่ยอมพูดกับเขามาตั้งแต่วันเกิดเรื่อง สุดท้ายผมก็พาลไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับใครทั้งนั้นทั้งพ่อหรือแม่  ผมอยู่ที่โรงพยาบาลผมก็อาละวาดขว้างปาของใส่พยาบาลจนแต่ละคนต่างเข็ดขยาดกับผม  ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันเป็นเรื่องที่ผิดเพราะพยาบาลพวกนั้นต่างก็ทำหน้าที่ของตนเอง  แต่ผมไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับผม  ผมอยากอยู่คนเดียว  ผมไม่อยากพบใครทั้งนั้นนอกจากพี่มยองซูคนเดียวเท่านั้น แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรผมคงไม่ได้พบกับพี่มยองซูอีกแล้วผมรู้จักพี่ซองกยูดีคนอย่างเขาถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำจนสำเร็จ  เมื่อนึกถึงขึ้นมาผมก็อดที่จะกอดเข่าตัวเองแนบหน้าลงไปกับแขนแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นไม่ได้  พลันหูของผมก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา  คงจะเป็นพยาบาลคนใดคนหนึ่งสินะเพราะนี่ก็เวลาเที่ยงแล้วพยาบาลคนนั้นคงจะเอาอาหารและยามาให้ผมตามเวลาปกติ  ผมไม่ใส่ใจกับคนที่อยู่ในห้องยังคงแนบหน้าอยู่กับแขนตัวเองน้ำตามันยังคงไหลไม่หยุด  ผมได้ยินเสียงเคลื่อนโต๊ะวางอาหาร  เสียงวางจานลงบนโต๊ะนั้น  ซักพักก็มีเสียงฝีเท้าคนเปิดประตูเดินออกไป 

 

ผมแอบโล่งอกที่พยาบาลออกไปซักทีผมจะได้ไม่ต้องออกแรงอาละวาดไล่พวกเธอให้เหนื่อยแล้วมารู้สึกผิดกับพวกเธอทีหลัง แต่แล้วผมกลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างเคลื่อนอยู่ใกล้ๆผมทางฝั่งเตียงด้านขวา  ผมแปลกใจเล็กน้อยหรือว่าพยาบาลที่เข้ามามีสองคนกันนะ

 

“ ออกไปได้แล้ว  ผมอยากอยู่คนเดียว ” 

 

ผมเอ่ยออกมาทั้งๆที่ใบหน้ายังคงแนบอิงกับแขน  แต่เงียบ  ผมไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกไปแต่ผมยังสัมผัสได้ว่ายังมีคนอยู่ใกล้ๆผม  ผมเริ่มโมโหที่คนที่อยู่ร่วมห้องในตอนนี้ไม่ยอมทำตามคำสั่ง

 

“ ผมบอกให้ออกไปไง  อย่าให้ผมต้องออกแรงอาละวาดนะ”

 

ผมเอ่ยไล่คนที่อยู่ในห้องกับผมอีกครั้ง  แต่ก็ยังเงียบไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม  ผมรู้สึกโกรธและโมโหมากกว่าเดิม  ผมออกแรงเหวี่ยงแขนใส่โต๊ะสำหรับวางอาหารอย่างแรงทั้งๆที่ใบหน้ายังก้มแนบอยู่  ผมคิดว่าผมกะตำแหน่งมันถูก  โต๊ะวางอาหารที่เคลื่อนที่ได้เมื่อโดนแรงผมผลัก มันก็หมุนออกไปทางข้างเตียงด้านซ้าย  ผมได้ยินเสียงจานกระทบกันแต่คงจะโชคดีไปนิดที่จานพวกนั้นแค่เคลื่อนไม่ถึงขั้นตกลงพื้น

 

“ ออกไปได้หรือยัง  ออกไปนะ ไม่ออก ฉันไม่ทำแค่นี้แน่ ”

ผมเอ่ยขู่อีกครั้ง

 

“ แล้วจะทำแค่ไหนล่ะ เด็กนิสัยไม่ดี ”

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังจากเงียบมานาน  เสียงที่คุ้นเคย  เสียงนั้น  เสียงที่ทำให้ผมใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ  ผมรีบเงยหน้าขึ้นจากแขนตัวเองที่กอดเข่าไว้ขึ้นมองตามเสียง  นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม  พี่มยองซูกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงข้างขวาของผมเขากำลังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผมคิดถึงมาให้

 

“ พี่มยองซู ”

 

ผมเรียกชื่อพี่มยองซูด้วยความดีใจ  ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่จ้องหน้าพี่มยองซูนิ่งแล้วก็สะอื้นร้องไห้ออกมา  เดือนร้อนให้พี่มยองซูลุกจากเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เปลี่ยนมานั่งอยู่ที่ริมขอบเตียงของผม  มือหนาของพี่มยองซูข้างนึงลูบหลังผมอย่างแผ่วเบาอย่างปลอบโยน  อีกมือหนึ่งเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าให้ก่อนจะใช้นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาให้ผมอย่างปลอบใจ

 

“ อะไรกัน เจอพี่ไม่ดีใจหรอ ร้องไห้ทำไม ” พี่มยองซูเอ่ยและยิ้มให้ผม

 

“ ดีใจสิ ฮือออออ ฮึกกกกกก ดีใจที่สุดเลย ”  ผมพูดไปก็สะอื้นร้องไห้ไป

 

“ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ ทำไมกลายเป็นเด็กนิสัยไม่ดีแล้วล่ะ ขว้างปาข้าวของได้ยังไง หืม ”

พี่มยองซูลูบหัวผมไปมา เอ่ยกับผมด้วยพูดที่อบอุ่นและแสนจะอ่อนโยน

 

“ ซองยอลเปล่านิสัยไม่ดีนะ ก็ซองยอลคิดถึงพี่มยองซูนี่น่า ซองยอลไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น นอกจากพี่มยองซูคนเดียว ”

ผมบอกพี่มยองซู  จนเขาอดยิ้มอย่างชอบใจไม่ได้

 

“ คิดถึงพี่มากขนาดนั้นเลยหรอ ”

 

“ อืม”  ผมพยักหน้ารับพี่มยองซูเป็นคำตอบ แต่อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่มยองซูมาที่นี่ได้อย่างไร

 

“ ว่าแต่พี่มยองซูมาที่นี่ได้ยังไง  รู้ได้ยังไงว่าซองยอลอยู่ที่นี่ ”  ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ บอสเป็นคนบอก  คุณซองกยูเป็นคนบอกพี่ ”

 

“ ห่ะ พี่ซองกยูนี่นะ ”  ผมอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

“ ใช่  คุณซองกยูเป็นห่วงซองยอลมากนะ  เขาเรียกพี่ไปคุยด้วย เล่าเรื่องซองยอลให้พี่ฟังทั้งหมด แล้วก็อนุญาตให้พี่มาหาซองยอลได้ ”

 

“ หึ ซองยอลไม่อยากจะเชื่อว่าคนใจร้ายคนนั้นจะทำเพราะห่วงซองยอล  คงกลัวซองยอลจะตายแล้วตัวเองจะมีความผิดนะสิ ”

ผมเอ่ยด้วยความที่ไม่เชื่อว่าพี่ซองกยูจะยอมใจอ่อนง่ายๆ และด้วยอารมณ์ที่ยังโกรธผู้เป็นพี่ชายอยู่

 

“ คุณซองกยูรักและห่วงซองยอลจริงๆนะ  ไม่งั้นเขาไม่ยอมอนุญาตพี่ขนาดนี้หรอก ”

ผมพยักหน้ารับรู้กับคำพูดของพี่มยองซู

 

“ พี่มยองซู กอดหน่อยได้ไหม ”

ผมเอ่ยอ้อนพี่มยองซู  จริงๆผมอยากกอดพี่เขาใจจะขาดแล้วแต่ใจมันไม่กล้าพอ ถึงผมจะดูใจกล้าในหลายๆเรื่องแต่เรื่องแบบนี้ผมก็เขินเหมือนกันนะไม่กล้าทำก่อนหรอก

 

“ ไม่ได้!!!  พี่มยองซูเอ่ยทำหน้านิ่งใส่  ผมอึ้งไปกับคำพูดและสีหน้านั้นจนรู้สึกน้อยใจล้นอก

 

“ กอดหน่อยเดียวไม่ได้หรอก ต้องกอดเยอะๆต่างหากล่ะ ” 

พี่มยองซูเอ่ยก่อนจะเปลี่ยนสีหน้านิ่งๆนั้นมายิ้มทะเล้นให้ผม  ผมฟาดไปที่แขนพี่มยองซูด้วยความหมั่นไส้สองสามทีฐานที่แกล้งผมในตอนที่กำลังใจไม่ดีอยู่  หลังจากนั้นพี่มยองซูก็รวบผมเข้ามากอดในอ้อมแขนของเขามือนึงก็ลูบผมสีน้ำตาลเข้มของผมอย่างเบามือ

 

“ กอดเยอะๆแบบนี้พอไหม ”

 

“ อืม ” 

ผมตอบพี่มยองซูตัวเองก็ซบหน้ากับอกกว้างนั้นอย่างอบอุ่น ผมคิดถึงพี่เขาเหลือเกิน คิดถึงแทบขาดใจ

 

“ ซองยอล  คุณซองกยูอนุญาตให้พี่คบกับซองยอลได้แล้วนะ ”

 

“ จริงหรอพี่มยองซู”  ผมผละออกจากอ้อมกอดพี่มยองซู เงยหน้าถามด้วยความดีใจ

 

“ ใช่  แต่คุณซองกยูให้พี่สัญญากับเขาเป็นสิบข้อเลย  แล้วเขาก็จะเป็นคนคอยดูพฤติกรรมพี่  ถ้าพี่ผิดสัญญาเพียงข้อเดียว พี่จะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับซองยอลโดยเด็ดขาด แม้แต่หน้าก็ห้ามมาให้ซองยอลเห็น ”

 

“ ซองยอลว่าแล้ว  พี่ซองกยูเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชัดๆ แล้วพี่มยองซูไปทำสัญญากับพี่ซองกยูเยอะแยะแบบนั้นได้ยังไง  เกิดพี่ผิดสัญญาแล้วเราจะทำยังไงล่ะ ”

ผมเอ่ยถามด้วยความกังวล

 

“ ไม่หรอกซองยอล  เพราะพี่คิดว่าพี่สามารถทำตามสัญญาพวกนั้นได้ทุกข้อแน่นอน ”

พี่มยองซูเอ่ยอย่างมั่นใจ

 

“ ว่าแต่สัญญานั่นมีอะไรบ้างล่ะ ” ผมถามด้วยความสงสัย

 

“ บอกไม่ได้ มันคือสัญญาของลูกผู้ชาย ”

 

“ ซองยอลก็เป็นผู้ชายนะ ”  ผมเถียงพี่มยองซู

 

“ ก็เป็นผู้ชาย  แต่เป็นผู้ชายที่ทั้งสวยและน่ารัก ”  พี่มยองซูเอ่ยแล้วยิ้มเอ็นดูให้ผม

 

“ ไม่เอา  ซองยอลไม่อยากสวยน่ารัก ไม่เอา ” 

ผมบุ้ยปากใส่พี่มยองซูด้วยอาการงอน  ผมบอกแล้วผมไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าผมสวยหรือน่ารัก ถึงมันจะเป็นคำพูดที่มาจากปากพี่มยองซูผู้ชายที่ผมรักจนหมดใจก็เถอะ

 

“ จุ๊บ ”

 

โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวพี่มยองซูก็แตะรีมฝีปากหยักนั้นลงมาที่ริมฝีปากผมเบาๆอย่างรวดเร็วแล้วผละออกไปก่อนจะอมยิ้ม  หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่าจุ๊บปากเบาๆนั่นแหละ

 

“ จะสวยน่ารักไหม ”  พี่มยองซูถามผม

 

“ ไม่!!!!

พอผมพูดจบประโยค  พี่มยองซูก็แตะริมฝีปากนั้นจุ๊บปากผมอีกครั้งผมได้แต่นิ่งค้างด้วยความตกใจ

 

“ จุ๊บ”

 

“ ตกลงจะสวยน่ารักไหม ”  พี่มยองซูเอ่ยถามผมอีกครั้งพร้อมขู่  “ ถ้าตอบว่าไม่  ไม่แค่จุ๊บแล้วนะ”

 

“ อย่านะ ก็ได้ ก็ได้ ” ผมเอามือเรียวปิดปากตัวเองกันไม่ให้พี่มยองซูทำแบบเมื่อกี้อีก

 

“ ดีมาก ” 

 

พี่มยองซูยิ้มอย่างพอใจ  ก่อนจะรวบร่างผมเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง  พี่มยองซูกอดผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไปไหนอีก 

 

“ พี่รักซองยอลนะ และจะรักตลอดไป ”

 

“ ซองยอลก็รักพี่มยองซู  และจะรักตลอดไปเหมือนกัน ” 

 

ผมตอบพี่มยองซูรู้สึกมันช่างมีความสุขเหลือเกินราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ  พี่มยองซูคลายอ้อมกอดออกก่อนจะแตะริมฝีปากหยักของพี่เขาลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบาและเนิ่นนานส่งผ่านความอ่อนโยนและความอบอุ่นมายังผมก่อนจะถอนริมฝีปากออกไปดวงตาคู่คมสบตาผมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักจนผมรู้สึกเขินอายจนต้องหลบตา

 

“ ซองยอล”  พี่มยองซูเรียกผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

“อะไรหรอพี่มยองซู ” ผมถามด้วยความสงสัย

 

“ พี่ขอจูบอีกทีสิ เมื่อกี้นี้มันยังไม่เรียกว่าจูบเลยนะ ”

 

พี่มยองซูทำหน้าออดอ้อนน่าสงสารกับผมจนผมอยากจะเอามือเรียวฟาดไปที่หน้าหล่อๆนั้นซักทีสองทีแบบหนักๆ เอาอีกแล้วพี่มยองซูเริ่มออกลายหื่นกับผมอีกแล้วไง  นี่ผมมองพี่มยองซูผิดไปหรือเปล่าเนี่ย  ตอนเราเจอกันแรกๆก็ดูเชยๆ เฉิ่มๆเรียบร้อยดูไม่มีพิษมีภัยอะไร  แต่ยิ่งนานวันเข้าพี่มยองซูก็คอยแต่จะหาเรื่องจะเอาเปรียบผมอยู่ตลอดเวลา  นี่ยิ่งคบเป็นแฟนกันมากเท่าไรผมก็ยิ่งขาดทุนนะ  แต่จะทำยังไงได้ล่ะก็ผมมอบหัวใจให้กับผู้ชายคนนี้ไปหมดแล้ว  ถึงจะโดนเอาเปรียบทางร่างกายไปบ้างก็คงไม่เป็นอะไร  เพราะอย่างน้อยผมก็ได้หัวใจของผู้ชายคนนี้มาอยู่กับผมแล้ว มันก็คือผลตอบแทนที่คุ้มค่าแล้วไม่ใช่หรอ

 

“ ซองยอลนะ  จูบครั้งนึงนะ ” 

พี่มยองซูยังคงเรียกร้องผมไม่เลิก

 

“ ไม่!!! ไม่!!!  พอแล้ว”

 

“ นะ ซองยอลนะ”

 

“ ไม่เอา นี่ซองยอลป่วยอยู่นะ”

 

“ ป่วยก็ไม่เป็นไร นะ แค่จูบเอง พี่สัญญาว่าจะจูบเบาๆ ”

 

“ ไม่!!! ไม่!!! ไม่!!! อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นซองยอลฟ้องพี่ซองกยูด้วย ”

 

“ นะ  ซองยอลนะ นิดเดียวเอง

 

" ไม่ !!! ไม่!!! บอกว่าไม่ !!!! "
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น