วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

คนน่ารัก




สวัสดีครับ ผมชื่อคิมมยองซูจริงๆแล้วมีหลายๆคนบอกว่าผมนั้นเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดีบางคนบอกถึงขั้นรูปหล่อเลยเสียด้วยซ้ำแต่ผมเองก็ยังสงสัยอยู่ว่าถ้าผมหน้าตาดีดังคนเขาว่ากันแล้วทำไมกันนะผมถึงต้องผิดหวังในเรื่องความรักอยู่ร่ำไป

 

ใช่ครับ ตอนนี้ผมโสดสนิท ไม่สิต้องบอกว่าเป็นโสดมานานแล้วถ้าจำไม่ผิดแฟนคนสุดท้ายที่ผมคบหาด้วยก่อนที่จะเลิกรากันน่าจะเป็นช่วงผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 4เหตุผลที่เราเลิกกันนะหรอ ก็คงคล้ายๆกับเหตุผลของแฟนคนก่อนหน้านั้นที่ผ่านๆมา

 

" เราเลิกกันเถอะมยองซูนายเอาแต่เรียน วันๆไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือไง แล้วดูแต่งตัวสิเชยจะตาย"

 

" มยองซู ฉันเบื่อนายที่สุด ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้แต่งตัวดีๆมางานวันเกิดเพื่อนฉันแล้วดูนายทำ ฉันอายคนทั้งงานรู้ไหม ใครๆเขาก็พูดกันว่าฉันควงลุงที่ไหนไปงาน "

 

" ถ้านายจะห่วงไอ้หนังสือบ้าบอนั่นกับรักที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายน่าเบื่อแบบนี้ เราคงไปด้วยกันไม่ได้"

 

และอีกบรรดาหลายๆเหตุผลที่คล้ายๆกันอีกมากมายที่อดีตแฟนของผมใช้มันเวลาเรามีปัญหากัน ซึ่งสุดท้ายก็ลงท้ายด้วยการเลิกรากัน เลิกกันแบบที่แทบจะมองหน้ากันไม่ได้ใช่ผมมีแฟนแทบจะนับคนได้ อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ขี้อาย พูดน้อย ชอบที่จะขลุกตัวอยู่กับกองหนังสือที่ผมชอบ หรือหมกตัวอยู่ในห้องสมุดได้เป็นวันๆ ชีวิตผมในวัยเรียนจึงมีแค่บ้าน มหาลัยและก็ห้องสมุดเท่านั้นผมจึงไม่ค่อยได้ไปไหนแต่ผมก็รู้สึกมีความสุขดี 

 

จะว่าไปแล้วอดีตแฟนของผมทุกคนที่เราคบกันได้นั้นก็เพราะพวกเธอเข้ามาสนิทกับผมก่อนแล้วถึงได้เริ่มคบกัน คนอย่างผมมันจะไปกล้าจีบใครก่อนล่ะถึงผมจะโด่งดังในเรื่องการเรียนว่ามีผลการเรียนในระดับต้นๆหรือได้รับรางวัลการแข่งขันด้านวิชาการมามากมายแต่คุณสมบัติแบบนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจในตัวเองแม้แต่น้อย พวกเธอคงพูดถูกผมคงมีดีแค่นั้นจริงๆแต่ในด้านอื่นๆของผมมันแย่จนติดลบ ผมผิดมากหรอครับที่ผมจะชอบสวมแว่นตาหนาๆมากกว่าใส่คอนแท็คเลนส์ ผมผิดหรอที่จะชอบใส่เสื้อผ้าธรรมดาเรียบง่ายที่ไม่ดูหรูหราหรือตามแฟชั่น

 

ผมผิดหรอที่ผมไม่ชื่นชอบงานสังสรรค์  ไม่ชอบการเที่ยวเตร่ ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากๆ มันดูวุ่นวายผมรู้สึกแบบนั้นผมผิดหรอที่ผมชอบเลือกอยู่ในที่เงียบๆกับหนังสือเล่มโปรดซักเล่ม นั่นแหละคือความสุขในมุมของผม

 

" มยองซู"

 

" ครับบอส "

ผมขานรับคุณคิมซองกยูผู้เป็นเจ้านายของผมซึ่งเดินมาพบผมถึงโต๊ะทำงานแน่นอนคงต้องมีเรื่องสำคัญอะไรซักอย่างที่ทำให้เขาถึงขั้นเดินมาพบผมแทนที่จะเรียกไปพบที่ห้องเหมือนอย่างที่เคยทำ

 

" พรุ่งนี้จะมีพนักงานใหม่มาเริ่มงานวันแรก ฝากนายช่วยเทรนงานให้ด้วยนะ"

 

" เอ๊ะ ปกติหน้าที่เทรนงาน บอสให้พี่ดงอูทำนิครับ" ผมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

 

" คนนี้พิเศษ เป็นญาติฉันเอง ดงอูต้องเทรนคนตั้งสองคนอยู่แล้ว ฉันกลัวจะไม่มีเวลา ให้นายมาช่วยน่าจะดีกว่า จะได้เป็นงานเร็ว" ซองกยูเอ่ย

 

" ได้ครับ " ผมรับคำผู้เป็นเจ้านาย

" ขอบใจนะ"  คุณคิมซองกยูยิ้มบางๆให้กับผมพร้อมตบลงบนบ่าผมเบาๆก่อนเดินจากไป

 

ผมทำงานที่บริษัทนี้มาได้ 4 ปีกว่าแล้ว แม้ที่นี่จะเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนักแต่โดยรวมถือว่าดีทีเดียวสำหรับผม  อย่างว่านั่นแหละผมมันเป็นคนประเภทไม่ชอบความวุ่นวายอยู่แล้ว  ดังนั้นบริษัทนี้ตอบโจทย์ผมได้ในระดับหนึ่ง ส่วนคุณคิมซองกยูเจ้านายของผมนั้นแม้ติดจะเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นไปบ้างในบางครั้งแต่ผมก็รู้สึกว่าเขานั้นก็เป็นเจ้านายที่ดีมากคนหนึ่ง

 

เช้าวันรุ่งขึ้นผมมาทำงานแต่เช้าตามปกติ ผมมักมาที่ทำงานเป็นคนแรกเสมอ ผมถือถ้วยกาแฟประจำตัวเดินตรงไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับให้พนักงานในบริษัทชงกาแฟ  หลังจากยืนชงกาแฟให้ตัวเองเป็นที่เรียบร้อยผมก็ยกถ้วยกาแฟหมุนตัวกลับเพื่อจะตรงไปที่โต๊ะทำงาน  พลันผมก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนกาแฟในมือหกรดใส่เสื้อของผมเองโชคยังดีที่มันรดใส่ผมแค่เล็กน้อยไม่เปรอะเปื้อนมากมาย

 

" อุ้ย!!!!! ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ "

เสียงหวานๆใสๆเอ่ยขึ้น ผมเงยหน้าจากการสำรวจรอยกาแฟบนเสื้อมองร่างคนตรงหน้า พลันร่างผมก็ชานิ่งทุกอย่างดูหยุดนิ่งไปหมด ร่างบอบบางตรงหน้าคือใครกันนะใบหน้าที่สวยน่ารักราวกับผู้หญิงช่างตัดกับดวงตากลมโตคู่สวยคู่นั้น ไหนจะแก้มป่องๆน่ารักน่าหยิกนั่นอีกล่ะช่างดูเข้าได้ดีกับปากสีเชอร์รี่อวบอิ่มนั่นเหลือเกิน สวย สวยจริงๆ ผมจ้องร่างคนตรงหน้านิ่งนาน เนิ่นนานจนคิดว่าผมแทบลืมหายใจไปแล้ว ก่อนจะตั้งสติขึ้นมาได้ เมื่อร่างบางนั่นยื่นผ้าเช็ดหน้าในมือมาเช็ดรอยกาแฟบนเสื้อผมให้

 

" ตายจริง เลอะหมดเลย ขอโทษจริงๆนะครับ ผมนี่มันซุ่มซ่ามจริงๆ"

เสียงใสนั้นเอ่ยขึ้นอีก ยิ่งร่างบางก้มมาเช็ดเสื้อของผมผมก็ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมจางๆลอยเข้ามาปะทะจมูกอีก หอม หอมชะมัด

 

" ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร"

ก่อนที่สติผมมันจะล่องลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์มากกว่านี้ ผมรีบบอกคนตรงหน้าแล้วขยับตัวออกห่างเล็กน้อย

 

" ขอโทษอีกครั้งนะ " ร่างบางตรงหน้าเอ่ยกับผม ใบหน้าน่ารักนั้นดูเป็นกังวลและรู้สึกผิด

 

" ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เลอะอะไรมาก จะชงกาแฟหรอ เชิญครับ "

ผมยิ้มบางๆให้คนตรงหน้าเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น ร่างบางพยักหน้าให้ผมก่อนจะยิ้มหวานให้ผม อีกแล้ว อีกแล้ว รอยยิ้มนั้นที่ทำให้ผมแทบขาดใจตาย ผมยิ้มตอบร่างบางนั้นอีกครั้งก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ใจผมเต้นแรงขึ้นแรงขึ้นแทบไม่เป็นจังหวะ นี่มันอะไรกันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ผมเดินตรงไปที่ห้องน้ำขลุกตัวอยู่ในนั้นเพื่อตั้งสติของตนเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินออกมาตรงไปที่โต๊ะเมื่อผ่านมุมกาแฟนั่นผมก็อดชะโงกมองเข้าไปไม่ได้แต่ที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว ผมเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานนั่งลงแล้วหยิบงานที่ค้างจากเมื่อวานมาทำต่อแต่ผมก็อดครุ่นคิดถึงเจ้าของใบหน้าหวานเมื่อครู่นี้ไม่ได้ นี่ผมเป็นอะไรไป

 

" ใครกันนะ ทำไมไม่เคยเห็นหน้า " ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ

 

ผมนั่งทำงานแบบมีสติบ้างไม่มีสติบ้างจนเวลาล่วงเลยเกือบ 11 โมง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งก็เดินมาเรียกผมว่าคุณซองกยูเรียกผมให้ไปพบที่ห้องทำงาน ผมจึงวางงานในมือลงก่อนจะสาวเท้าเดินตรงไปที่ห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายเคาะมันเบาๆก่อนจะผลักบานประตูเปิดเข้าไป  คุณซองกยูนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แต่ว่าร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะนั่นสิที่ทำให้ใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ผู้ชายหน้าหวานคนเมื่อเช้านั่นเอง  ผมตั้งสติไม่ให้ประหม่าเดินตรงไปยืนที่หน้าโต๊ะนั่นแต่ก็ยังไม่วายเห็นรอยยิ้มหวานๆนั่นส่งมาทักทายผม

 

" เรียกผมหรอครับ "

ผมเอ่ยกับผู้เป็นเจ้านาย  คุณซองกยูพยักหน้าให้ผมเบาๆก่อนจะชี้มือไปที่ร่างบอบบางที่ยืนไม่ไกลห่างไปจากผมเท่าไรนัก

 

" นี่ซองยอล คนที่ฉันบอกว่าจะฝากให้นายเทรนให้  ซองยอลนี่มยองซูนะ เชื่อฟังเขาและตั้งใจทำงานนะ"

 

" ครับ สวัสดีครับพี่มยองซู "

ซองยอลโค้งศรีษะให้ผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้ ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มที่น่ารักนั่นมันทำให้ผมใจละลายรู้ไหม ผมโค้งศีรษะรับซองยอลพยายามทำให้ตัวเองปกติที่สุด

 

" มีอะไรก็สอนซองยอลได้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจฉัน " คุณซองกยูเอ่ยกับผมอีกครั้ง

 

และแล้วโต๊ะทำงานของผมก็มีหนุ่มน้อยหน้าหวานมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกันกับผม ผมกางเอกสารต่างๆลงบนโต๊ะค่อยๆอธิบายข้อมูลพื้นฐานคร่าวๆเกี่ยวกับงานที่ต้องทำให้กับซองยอลฟังแม้จะรู้สึกประหม่าไปบ้างในบางครั้งเมื่อเงยหน้ามาเจอใบหน้าน่ารักนั่นบุ้ยแก้มป่องขมวดคิ้วเล็กน้อยเท้าคางฟังผมอย่างตั้งใจ แต่ด้วยหน้าที่แล้วผมต้องทำหน้าที่ของผมให้สำเร็จแม้จะอดหวั่นไหวไปกับร่างน่ารักนั่นที่อยู่ห่างผมเพียงไม่กี่คืบ ซองยอลนั้นเป็นคนหัวไวและค่อนข้างฉลาดเขาเข้าใจงานที่ผมสอนได้อย่างรวดเร็ว ตรงไหนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็จะเอ่ยปากถามผมอย่างตั้งใจแล้วก็เล็กเชอร์ลงบนสมุดโน้ตเล็กๆสีชมพูของเขา น่ารัก น่ารักอีกแล้ว เมื่อถึงช่วงพักกลางวันผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ ซองยอลเดินกลับมาจากห้องน้ำมาที่โต๊ะทำงานก่อนจะส่งเสียงหวานเอ่ยกับผม

 

" พี่มยองซูจะไปกินข้าวหรอ ซองยอลไปด้วยนะ "

 

" อ้าว ซองยอลไม่ไปกินกับบอสหรอ ”

 

“ พี่ซองกยู เอ้ย...บอสไปพบลูกค้า ซองยอลไม่อยากกินคนเดียว อีกอย่างซองยอลก็ไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหน " ซองยอลเอ่ยดวงตามีแววอ้อนผมเหมือนเด็กน้อย เอ๊ะ หรือว่าเป็นผมที่คิดไปเอง

 

" งั้นไปกับพี่นี่แหละ " ผมเอ่ยกับซองยอล ซองยอลยิ้มให้ผมอย่างดีใจราวกับเด็กได้ของเล่น

 

ผมพาซองยอลมากินข้าวที่ร้านเล็กๆซึ่งเป็นร้านประจำของผมอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก ซองยอลนั่งเปิดเมนูไปมาพร้อมกับเม้มปากอย่างคนที่ใช้ความคิดในการเลือกเมนูอยู่นานสองนาน

 

" ไม่รู้ว่าร้านนี้ซองยอลพอจะกินได้ไหม"

ผมเอ่ยถามร่างบางเพราะตามปกติแล้วคุณซองกยูเจ้านายผมค่อนข้างเป็นคนที่ช่างเลือกในเรื่องร้านอาหารเขามักจะเลือกร้านอาหารที่หรูหราค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นซองยอลที่เป็นญาติจึงไม่น่าจะต่างกันมากนัก

 

" ได้ครับ แต่ว่าซองยอลไม่รู้จะสั่งอะไรดี พี่มยองซูสั่งให้ซองยอลหน่อยสิ ที่พี่คิดว่าอร่อย "

ซองยอลเอ่ยกับผมพร้อมยิ้มหวานให้ ยิ้มอีกแล้ว ซองยอลขอร้องอย่ายิ้มบ่อยได้ไหม

 

" ได้ งั้นพี่สั่งให้ "

ผมตอบรับซองยอลก่อนจะเสไปเรียกพนักงานมาสั่งออเดอร์เพื่อลดอาการประหม่า

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วซองยอลทำงานที่นี่มาได้เกือบ 4 เดือนแล้ว แม้ว่าในตอนนี้นั้นผมไม่ต้องทำหน้าที่เทรนงานให้กับซองยอลอีกแล้ว แต่ผมก็มักจะเป็นคนแรกๆที่ซองยอลจะมาปรึกษาเรื่องงานกับผม โต๊ะทำงานของผมไม่มีร่างของซองยอลมานั่งเบียดเหมือนเดิมอีกแล้วเพราะซองยอลมีโต๊ะประจำตำแหน่งของตนเองซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปแต่มันก็ไม่ยากอะไรนักที่ผมจะสามารถลอบแอบมองซองยอลทุกครั้งที่ร่างบางเผลอ และสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุดนั่นก็คือซองยอลชอบมากินข้าวกลางวันกับผมในวันที่คุณซองกยูไม่อยู่ จนบางครั้งผมเองก็แอบนิสัยเสียอยู่หลายครั้งชอบลุ้นตัวโก่งให้คุณซองกยูติดธุระตอนช่วงกลางวัน ซองยอลทำให้ผมเปลี่ยนไปในหลายๆอย่าง ปกติแล้วผมชอบที่จะนั่งกินข้าวคนเดียวจนเป็นเรื่องปกติแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกหงอยเหงาทุกครั้งเมื่อต้องมานั่งกินข้าวกลางวันโดยลำพัง นี่ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมส่วนตัวของผมอีก ผมยอมถอดแว่นหนาๆที่ผมชอบสวมมันมาตลอดแล้วซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่แทนรู้ไหมกว่าผมจะใส่มันได้ตาผมต้องเจ็บไปตั้งไม่รู้กี่วัน ไหนจะเรื่องเสื้อผ้าอีกผมไปเดินวนเวียนอยู่ที่ร้านเสื้อผ้านานสองนานไม่กล้าเข้าจนพนักงานในร้านต้องออกมาเชิญผมซ้ำยังแนะนำเรื่องการแต่งตัวให้ผมด้วย ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันดีขึ้นไหมแต่ก็ต้องขอบคุณพนักงานหญิงคนนั้นจริงๆเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจขึ้น

 

วันนี้เป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักที่คนมีคู่รักต่างพากันรอคอยซึ่งมันไม่ใช่ผม ผมลอบมองดูของบนโต๊ะซองยอลที่เต็มไปด้วยกล่องช็อกโกแลต กล่องของขวัญ ช่อดอกไม้ ที่มีทั้งคนในบริษัทเอามาให้และมีส่งมาให้จากข้างนอกอีกด้วย มันคงจะไม่แปลกที่คนที่แสนน่ารักอย่างซองยอลจะมีคนชอบพอมากมายขนาดนี้ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดกับภาพนั้นเหลือเกินนะ จริงๆแล้วผมไม่ควรเป็นแบบนี้ผมมีสิทธิ์อะไรกันที่จะไปไม่พอใจซองยอลแบบนั้น ผมก็แค่เพื่อนร่วมงานแค่อดีตคนเทรนงานก็เท่านั้น

ผมหน้าตาบึ้งตึงตั้งแต่เช้ายันเที่ยงไม่ยอมพูดจากับใคร ผมยอมรับว่าผมหงุดหงิดและไม่ชอบใจจริงๆแม้จะคอยบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าผมไม่มีสิทธิ์แต่ผมก็อดอารมณ์เสียไม่ได้ อาการแบบนี้เขาเรียกว่าหึงหรือเปล่านะ แล้วผมกล้าดียังไงที่จะไปหึงน้องเขา น้องเขาเป็นอะไรกับผมงั้นหรอ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ

 

" พี่มยองซู พี่มยองซู"

เสียงหวานอันคุ้นเคยปลุกผมให้ตื่นจากการจมกับความคิดอันแสนจะสับสนวุ่นวายของผม ผมเงยหน้าจากงานที่ตั้งท่าเหมือนจะตั้งใจทำสบตากับเจ้าของใบหน้าน่ารักที่เป็นต้นเหตุให้ผมเป็นบ้าอยู่ในขณะนี้

 

" มีอะไรหรอซองยอล"

 

" พักเที่ยงแล้วไม่ไปกินข้าวหรอพี่มยองซู ไปกินกันซองยอลไปด้วย"

 

" เอ่อ...ขอโทษนะซองยอล พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระ ซองยอลไปกินกับเพื่อนๆนะ "

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปฎิเสธซองยอลไปแบบนั้น ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรอที่จะได้ไปกินข้าวกับซองยอลสองคนเหมือนที่เคยทำ อาจจะเพราะความรู้สึกที่แสนจะสับสนและว้าวุ่นในใจผมรุมเร้าผมมาถึงครึ่งค่อนวันก็เป็นได้ที่สั่งให้ผมพูดออกไปแบบนั้น

 

" อ้าว หรอ ไม่เป็นไร เสียดายจัง" ซองยอลดูผิดหวังไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มสดใสให้ผมเหมือนเดิม

 

" งั้นพี่มยองซูไปเถอะ "

ซองยอลเอ่ยก่อนจะเดินผละจากผมไป ผมอยากจะร้องเรียกให้ซองยอลหันกลับมาและบอกว่าผมเปลี่ยนใจแล้วอยากจะไปกินข้าวกับซองยอล แต่ผมก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียงมองตามร่างบางนั้นไป

 

สุดท้ายผมก็ต้องมาเดินเล่นฆ่าเวลาอยู่ที่ห้างเล็กๆที่อยู่ห่างออกมาจากออฟฟิตไปหน่อย ก็ผมเล่นโกหกคำโตกับซองยอลเอาไว้หากซองยอลเห็นผมแถวๆออฟฟิตซองยอลก็ต้องจับได้ว่าผมโกหก บรรยากาศในห้างวันนี้ตลบอบอวลไปด้วยความรัก ร้านค้าส่วนมากจัดร้านต้อนรับวันวาเลนไทน์ บางร้านขายสินค้าสำหรับวันวาเลนไทน์ ตามทางเดินมีคู่รักหลายๆคู่เดินควงคู่กันอย่างมีความสุข ผมมองภาพนั้นแล้วรู้สึกแอบเศร้าในใจเล็กน้อย สองขาของผมมาหยุดลงที่หน้าร้านๆหนึ่งผมจับจ้องไปหยุดที่ตุ๊กตาหมีขนปุยสีขาวผูกโบว์สีชมพูเล็กๆน่ารักตัวหนึ่ง

 

" เหมาะกับซองยอลดีเนอะ "

ผมบอกกับตัวเองเบาๆ แต่พลันความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงักลง คนอย่างผมจะไปกล้าซื้อของให้ซองยอลได้ยังไง  ผมจะบอกซองยอลว่าให้ตุ๊กตาตัวนี้ในฐานะอะไรกัน แค่คิดผมก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ผมหันหนีจากภาพตรงหน้าแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

 

บ่ายแล้วผมกลับมาทำงานที่บริษัทต่อ  ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานกับเอกสารบนโต๊ะแบบไม่สนใจใคร นานๆครั้งผมจะเงยหน้าขึ้นมาแอบมองซองยอลที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทีนึง ซองยอลเองก็ดูตั้งอกตั้งใจกับงานตรงหน้า ใบหน้าน่ารักนั้นคิ้วขมวดเป็นปมเล็กน้อยน่าจะเครียดกับงานในมืออยู่สินะ ผมละสายตามาจากร่างบางนั้นก่อนจะหยิบแม็คมาเย็บเอกสารในมือแต่ลูกแม็คกลับหมดผมจึงเอื้อมมือไปดึงลิ้นชักโต๊ะเปิดออกเพื่อจะหยิบลูกแม็คมาใส่ พลันผมก็รู้สึกแปลกใจเมื่อพบกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจผูกโบว์สีชมพูวางไว้ในลิ้นชักนั้น ผมหยิบกล่องนั้นขึ้นมาดูด้วยความสงสัย ใครกันเอากล่องช็อกโกแลตมาให้ผม ผมพลิกมันดูไปมาก่อนจะเปิดการ์ดเล็กๆที่ห้อยอยู่มุมกล่องออกอ่าน ในการ์ดมีอักษรพิมพ์แล้วตัดมาแปะเขียนเอาไว้ว่า "Happy Valentine's Day"

" แหนะ!!! มยองซู สาวที่ไหนให้ช็อกโกแลตเนี่ย "

พี่ดงอูเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่เดินผ่านโต๊ะทำงานผมเข้าพอดีแล้วเห็นเข้าจึงทักด้วยน้ำเสียงอันดังตามนิสัยจนคนต่างหันมามองกันหมด

 

" ไม่รู้เหมือนกันครับ มันอยู่ในลิ้นชักผม " ผมตอบพี่ดงอูไป

 

" ว้าวๆ ไว้ในลิ้นชักเลยหรอ คนให้น่ารักอ่ะ แปลว่ามีคนแอบชอบนายอยู่นะเนี่ย "

พี่อูฮยอนเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่อีกคนที่นั่งโต๊ะทำงานติดกับผมลุกมาดูแล้วทักอย่างสนใจหยิบกล่องไปดู

 

" คงไม่ใช่ของผมมั้งครับ น่าจะไว้ผิดโต๊ะ"

ผมเอ่ยกับพี่อูฮยอนส่วนสายตาผมก็ชำเลืองมองดูซองยอลเล็กน้อย  ซองยอลมองมาที่กลุ่มผมแวบนึงแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย  ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์คอมพิวเตอร์ต่อไป นี่ผมคิดอะไรกัน นี่ผมแอบคิดเอาเองว่าซองยอลอาจจะรู้สึกอะไรบ้างที่มีคนมาสนใจผม แต่เปล่าเลยน้องไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ผมคงคิดเองเออเองสินะ

 

“จะไม่ใช่ได้ไง ของเรานั่นแหละ ใครมันจะไปบ้าใส่ลิ้นชักผิดโต๊ะขนาดนั้น”

พี่ดงอูเอ่ยอย่างแสดงความเห็น

 

“ถ้าไม่มีเจ้าของเดี๋ยวพี่ยึดนะ ของชอบพี่เลยช็อกโกแลตเนี่ย” พี่อูฮยอนเอ่ยกับผม

 

“ เอาสิครับ ถ้าพี่อูฮยอนชอบก็เอาเลยตามสบาย ผมไม่ค่อยชอบกินช็อกโกแลตอยู่แล้ว”

ผมตอบพี่อูฮยอนไปตามประสาคนที่ไม่หวงของอยู่แล้ว

“ พูดเล่นน่ะ ใครจะไปกินลง คนให้เขาตั้งใจให้นาย พี่จะไปกินได้ไง”

พี่อูฮยอนเอ่ยแล้วยิ้มให้ผมก่อนจะวางกล่องช็อกโกแลตนั้นลงบนโต๊ะของผมก่อนจะกลับไปทำงานที่โต๊ะต่อซึ่งไม่ต่างกับพี่ดงอูที่ยิ้มให้ผมบางๆก่อนจะเดินออกไป ผมก้มหน้าทำงานต่ออีกครั้งโดยไม่ได้ใส่ใจกับช็อกโกแลตกล่องนั้นต่อ

 

เลยเวลาเลิกงานมาค่อนข้างมากแล้ว พนักงานส่วนใหญ่พากันกลับหมดแล้ว พวกเขาคงจะรีบไปฉลองวันวาเลนไทน์กับคนรักสินะเหลือเพียงผมและพนักงานอีกไม่กี่คนในบริษัท ผมพึ่งกลับออกมาจากห้องเก็บเอกสารหลังจากลงไปหาเอกสารอยู่พักใหญ่ ทั้งแผนกเหลือเพียงผมคนเดียว ผมมองโต๊ะของซองยอลอีกครั้งหลังจากพักกลางวันผมก็ไม่ได้พูดคุยกับซองยอลอีกเลยผมถอนหายใจออกมาเบาๆแล้ววางเอกสารที่ไปหามาจากห้องเก็บเอกสารลงบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็เก็บของบนโต๊ะจนเรียบร้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมาสะพายไหล่ผมเหลือบเห็นกล่องช็อกโกแลตกล่องนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะดังเดิมตั้งแต่ที่พี่อูฮยอนหยิบวางไว้  ผมจ้องมองมันเล็กน้อยเพราะยังนึกแปลกใจว่าใครกันเป็นคนเอามันมาใส่ไว้ในลิ้นชัก ผมละความคิดนั้นทิ้งก่อนจะเดินไปปิดไฟในแผนกลงจนหมดแล้วเดินออกไป

 

ผมเดินมาถึงรถของผมที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัท ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกุญแจรถออกมาก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ที่โต๊ะทำงานเพราะวางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนลงไปหาเอกสาร ผมจึงปลดล็อคกุญแจรถเอากระเป๋าสะพายไปเก็บไว้ก่อนจะปลดล็อดรถแล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นลิฟท์ไปที่แผนกเอาโทรศัพท์มือถือผมเดินก้าวเข้าไปในแผนกพลันหูของผมก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างใน มันดังมาจากทิศทางที่ตั้งของโต๊ะทำงานผม

 

“ นั่นใครนะ”

ผมเอ่ยปากถาม ด้วยความที่ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องภูติผีอยู่แล้ว  ดังนั้นผมจึงเชื่อมั่นว่าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนเสียงเหมือนคนชนอะไรเข้าดังอีกครั้ง น่าจะเป็นอะไรซักอย่างที่อยู่บริเวณโต๊ะของผม ผมตัดสินใจเดินฝ่าความมืดตรงไปยังสวิตส์ไฟเพื่อเปิดมัน ความที่คุ้นเคยกับที่นี่มานานทำให้ผมเดินไปที่นั่นโดยไม่ยาก เมื่อมือของผมสัมผัสสวิตส์ไฟทั้งหมดเปิดขึ้น พลันแสงไฟก็สว่างไสวไปทั่วทั้งแผนก ผมตกใจกับภาพตรงหน้าเมื่อร่างบางของคนที่ทำให้ผมงุ่นง่านหงุดหงิดมาทั้งวันกำลังยืนอยู่ที่โต๊ะของผมใบหน้าสวยนั้นมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นผม ทันทีที่เห็นว่าเป็นผมซองยอลก็รีบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังทันที ผมก้าวเดินตรงไปหาซองยอลในทันทีก่อนจะเอ่ยถาม

 

“ ยังไม่กลับหรอซองยอล”

แต่เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ร่างบางนั้นผมก็ต้องแปลกใจระคนตกใจขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าบนใบหน้าน่ารักนั้นมีร่องรอยของคราบน้ำตาติดอยู่แม้จะเหมือนถูกเช็ดออกลวกๆจากผู้เป็นเจ้าของแล้วก็ตามแต่มันก็ยังปรากฏให้เห็นได้ชัด

 

“ ซองยอล เป็นอะไร นี่ร้องไห้หรอ” ผมถามอย่างห่วงใย ซองยอลส่ายหน้าปฏิเสธผมไปมา

 

“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”

ผมเอ่ยถามซองยอลอีกครั้ง ซองยอลทำเพียงแค่มองหน้าผมแล้วส่ายหน้าปฏิเสธผมอีกครั้ง สีหน้าซองยอลดูไม่ค่อยดีนักเหมือนกำลังพยายามที่จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

 

“ ไม่เป็นอะไร แล้วร้องไห้ทำไม แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง”

ผมเอ่ยถามซองยอลอีกครั้งแล้วเริ่มสงสัยว่าอะไรบางอย่างที่ซองยอลซ่อนไว้ข้างหลังอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ซองยอลร้องไห้ก็เป็นได้

 

“ ม่ะ...ไม่มี” ซองยอลรีบปฏิเสธผมก่อนจะรีบซ่อนมันไว้ด้านหลังให้มิดชิดมากไปอีก

“ พี่ไม่เชื่อ”

ผมตัดสินใจตรงเข้าไปที่ร่างของซองยอลก่อนจะแย่งของที่ซองยอลซ่อนไว้ข้างหลังออกมาดู ซองยอลพยายามหลบหลีกผมไม่ยอมให้ผมแย่งมันมาได้แต่ด้วยแรงที่มีมากกว่าของผมสุดท้ายผมก็แย่งมันมาได้ พลันผมก็ต้องตกใจกับของในมือผมที่แย่งมาได้จากซองยอลมันคือกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจกล่องนั้น

 

“ กล่องช็อกโกแลต ?

ผมอุทานออกมาก่อนจะจ้องหน้าซองยอลเพื่อต้องการคำตอบจากร่างบางซองยอลจ้องตอบผมด้วยสีหน้าที่เหมือนเด็กกำลังถูกจับผิด ก่อนที่ซองยอลจะสะอื้นฮักร้องไห้ออกมา

 

“ ฮรึกกกกกกกก พี่มยองซูใจร้าย ทำไมไม่สนใจช็อกโกแลตกล่องนี้เลย มันไม่มีค่าเลยใช่ไหม อยากจะยกให้ใครก็ได้ อยากจะทิ้งก็ทิ้ง”

ซองยอลพูดใส่ผมทั้งน้ำตา คำพูดพวกนั้นทำให้หัวผมหมุนคว้างนี่ผมเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม คำพูดพวกนั้นที่ผมได้ยินมันแปลว่าซองยอลคือเจ้าของกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจนั่นใช่ไหม แปลว่าซองยอลเป็นคนตั้งใจให้ผมใช่ไหม

 

“ ช็อกโกแลตกล่องนี้เป็นของซองยอลงั้นหรอ”

ผมถามซองยอลย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ซองยอลพยักหน้ารับผมเบาๆ

 

“ ซองยอลตั้งใจให้พี่ ?

ผมถามย้ำอีกครั้งซองยอลพยักหน้ารับผมอีกครั้ง

 

“ โธ่ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว พี่ขอโทษจริงๆพี่ไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร”

ผมเอื้อมมือไปเกลี่ยหยดน้ำตาบนใบหน้าสวยนั้นออกอย่างแผ่วเบาเพื่อเป็นการปลอบโยนคนตรงหน้า

 

“ แล้วทำไมไม่ให้พี่ตรงๆล่ะ เอาไปไว้ในลิ้นชักทำไม หืม”

 

“ ก็ซองยอลตั้งใจจะให้พี่มยองซูตอนกลางวันที่ชวนไปกินข้าว แต่พี่มยองซูก็ไม่ยอมไป ซองยอลไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยเอาไปแอบใส่ไว้ในลิ้นชัก”

ซองยอลเอ่ยกับผมใบหน้าน่ารักบุ้ยปากใส่ผมด้วยอาการงอนนิดๆ

 

“พี่ขอโทษจริงๆ อย่าโกรธพี่เลยนะ” ผมง้องอนคนตรงหน้า

 

“ ไม่โกรธก็ได้ แต่ห้ามพี่มยองซูเอาช็อกโกแลตกล่องนี้ไปยกให้คนอื่นอีกนะ ซองยอลทำช็อกโกแลตเองเลยนะ พี่มยองซูต้องกินคนเดียว”

 

“ ได้ๆ พี่จะกินคนเดียว หายโกรธนะ” ซองยอลพยักหน้าให้ผมเบาๆ

 

“ ว่าแต่ให้ช็อกโกแลตพี่วันวาเลนไทน์เนี่ย ซองยอลชอบพี่จริงๆหรอ ”

 

“ ไม่ชอบมั้ง ทำให้ขนาดนี้ยังไม่รู้อีกหรอ”

ซองยอลกอดอกหน้ามุ่ยใส่ผม แต่ผมมองยังไงก็ช่างน่ารัก นี่ผมต้องง้อเด็กแสนงอนอีกแล้วใช่ไหม แต่ต่อให้ต้องง้องอนตลอดชีวิตผมก็ยอม

“ ก็พี่ไม่คิดนี่น่าว่าคนที่แสนจะน่ารักแบบซองยอลจะมาชอบคนอย่างพี่ได้ ”

ผมเอ่ยตามความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจมาโดยตลอด

 

“ ทำไมล่ะ พี่มยองซูน่ารักจะตายไป รู้ไหมตอนซองยอลเจอพี่ครั้งแรกที่ทำกาแฟหกใส่นะ ซองยอลก็ชอบพี่มยองซูเลยนะ พอรู้ว่าพี่มยองซูจะมาสอนงานซองยอลตื่นเต้นมากแค่ไหนรู้ไหม”

 

“ แต่พี่มยองซูก็ไม่มีทีท่าอะไรเลย ทั้งๆที่ซองยอลพยายามสนิทด้วย รู้ไหมซองยอลอึดอัดแค่ไหนเวลาต้องทำฟอร์มว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่มยองซู จนสุดท้ายซองยอลก็ทนต่อไปไม่ไหวก็เลยตั้งใจว่าจะมาสารภาพกับพี่ในวันวาเลนไทน์ แต่พี่มยองซูกลับใจร้ายกับซองยอล ”

 

ซองยอลเอ่ยกับผมมาชุดใหญ่ผมโน้มใบหน้าของผมเข้าไปใกล้กับใบหน้าของซองยอล อยากจูบสัมผัสริมฝีปากสวยอวบอิ่มที่แสนจะเย้ายวนนั้นเหลือเกิน แต่ผมยังไม่มีความกล้ามากพอผมทำเพียงแค่แตะริมฝีปากของผมลงบนหน้าผากของซองยอลอย่างแผ่วเบาเนิ่นนานก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาสบตากับดวงตากลมโตคู่สวยนั้นที่จ้องตอบผม แก้มใสทั้งสองข้างของร่างบางขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน

 

“ พี่ขอโทษนะซองยอล พี่ไม่รู้จริงๆ ” ผมเอ่ยบอกซองยอลอย่างแผ่วเบา

 

“ แล้วพี่มยองซูล่ะ ชอบซองยอลบ้างไหม” ซองยอลเอ่ยถามผมดวงตามีแววใคร่รู้ปรากฏอย่างชัดเจน

 

“ ไม่ชอบ”

ผมตอบคำถามนั้น ซองยอลนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของผม พร้อมเม้มปากแน่นอย่างต้องการสะกดอารมณ์

“ ไม่ชอบ แต่รักต่างหากล่ะ” ผมรีบเอ่ยกับซองยอลก่อนที่เด็กน้อยตรงหน้าของผมจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

 

“ พี่มยองซู แกล้งซองยอลอีกแล้วนะ” ซองยอลตีไปที่แขนผมรัวที่ถูกแกล้ง

 

“ พี่พูดจริง พี่น่ะตกหลุมรักซองยอลตั้งแต่ตอนที่ซองยอลทำกาแฟหกใส่ เขาเรียกว่ารักแรกพบหรือเปล่านะ เพราะตั้งแต่วันนั้นหัวใจพี่มันก็เต้นแรงทุกครั้งที่เจอหน้าซองยอล ”

 

“ แต่พี่รู้ตัวว่าคนอย่างพี่มันไม่ดีพอที่จะให้คนอย่างซองยอลมารัก พี่ก็เลยทำได้แค่แอบรักซองยอลอยู่ข้างเดียวเท่านั้น ขอบใจมากนะซองยอลที่มาชอบผู้ชายอย่างพี่ ถ้าซองยอลไม่ให้ช็อกโกแลตกล่องนี้ก่อน พี่ก็ไม่รู้ว่าพี่จะมีความกล้าพอไหมที่จะบอกรักซองยอล”

 

“ ก็นี่ไง พี่มยองซูก็กำลังบอกรักซองยอลอยู่ แล้วก็เลิกคิดว่าตัวเองไม่ดีพอได้แล้ว ถ้าพี่มยองซูไม่ดีพอ ซองยอลจะไปชอบพี่ได้ไง จริงไหม ” ซองยอลยิ้มสดใสให้ผม

 

“ ถ้างั้นเราเป็นแฟนกันนะ ”

 

“ ขอคิดดูก่อนล่ะกัน ” ซองยอลกอดอกอีกครั้งอย่างคนที่เหนือกว่า

 

“ อ้าว ไหนบอกว่าชอบพี่ไง ”

 

“ ก็ชอบไง แต่ซองยอลชอบหนุ่มใส่แว่นหนาๆแต่งตัวธรรมดาๆมากกว่า ”

“ แล้วแบบนี้ไม่ชอบหรอ นี่พี่ลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อซองยอลเลยนะ กว่าจะใส่คอนแท็คเลนส์นี่ได้ พี่เจ็บตาไปตั้งหลายวันเชียวนะ”

 

“ จริงหรอ นี่พี่ทำเพื่อซองยอลเลยหรอ ” ซองยอลเอ่ยถามผมแต่ก็อมยิ้มอย่างชอบใจ

 

“ ก็ใช่นะสิ แต่ถ้าซองยอลไม่ชอบ พี่กลับไปเป็นแบบเดิมก็ได้นะ ”

 

“ ไม่ต้องๆ ไม่ว่าพี่มยองซูจะเป็นแบบไหนซองยอลก็ชอบหมดแหละ ดูสิเป็นแบบนี้ก็โอเคนะ ดูสิแฟนใครกันหล่อจังเลย ” ซองยอลบีบแก้มผมอย่างหยอกล้อ

 

“ ตกลงเราเป็นแฟนกันนะ” ผมเอ่ยขอซองยอลอีกครั้ง

 

“ อืม ”

ซองยอลพยักหน้าแล้วยิ้มน่ารักให้ผม รอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มที่ทำให้ผมหลงใหลและตกอยู่ในภวังค์ ผมอดใจเอาไว้ต่อไปไม่ได้แล้วผมเอื้อมมือไปเชยคางซองยอลเอาไว้แล้วค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปหาซองยอลอย่างช้าๆก่อนจะจรดริมฝีปากของผมทาบทับลงไปบนริมฝีปากอวบอิ่มสีเชอร์รี่นั่น ซองยอลหลับตาลงเมื่อได้รับรสสัมผัสนั้น ผมทาบทับจูบนั้นอยู่เนิ่นนานแม้จะไม่ได้รุกล้ำเข้าไปด้านในแต่มันช่างหอมหวานเหลือเกิน หวาน หวานจนผมไม่อยากจะถอนจูบนั้นออกมาแต่สุดท้ายผมก็ต้องถอนจูบนั้นออกมาอย่างแสนเสียดาย ซองยอลลืมตาขึ้นมาสบตาผมแก้มใสทั้งสองข้างของซองยอลตอนนี้ขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขินอายเป็นที่สุด

 

“ พี่มยองซูบ้า คนฉวยโอกาส ”  ซองยอลรัวมือตีแขนผมด้วยความเขิน

“ ก็เราเป็นแฟนกันแล้วนี่น่า คนเป็นแฟนกันเขาก็ทำกันแบบนี้กันทั้งนั้น ”ผมท้วงซองยอล

 

“ ไม่ต้องเลย คอยดูนะซองยอลจะฟ้องพี่ซองกยู ” ซองยอลยกเอาผู้เป็นพี่ชายมาขู่ผม

 

“ ฟ้องสิ ถ้าซองยอลฟ้องพี่ทำมากกว่านี้อีกนะ ”

ผมขู่ซองยอลกลับพร้อมกับรั้งร่างบางนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหา ซองยอลหลับตาปี๋เมื่อใบหน้าผมเข้าใกล้เข้าไปทุกที ผมยิ้มกับท่าทางของซองยอลอย่างเอ็นดูก่อนจะจรดริมฝีปากของผมลงบนแก้มป่องๆนั้นแทนก่อนจะปล่อยร่างของซองยอลให้เป็นอิสระ

 

“ งั้นมัดจำไว้แค่นี้ก่อน คราวหน้าพี่จะมาเอาคืน ” 

ผมเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเมื่อแกล้งคนตรงหน้าได้ ซองยอลจับแก้มของตัวเองด้วยความเขินก่อนจะบุ้ยปากงอนใส่ผม

 

“ แกล้งซองยอลอีกแล้วนะ งอนแล้ว ”

 

“ งั้นสงสัยพี่ต้องหาวิธีง้อแบบใหม่ซะล่ะ ”

ผมแกล้งขู่ซองยอลอีกครั้ง แล้วขยับตัวเข้าหา ซองยอลขยับตัววิ่งหนีผมทันที

 

“ อย่านะ ซองยอลไม่เล่นแล้ว พี่มยองซูบ้า พี่มยองซูหื่น ซองยอลจะกลับบ้านแล้ว แบร่ ”

ซองยอลวิ่งหนีผมไปได้ก่อนจะตะโกนใส่ผมแลบลิ้นให้ก่อนจะวิ่งหนีหายออกไป

นี่ซองยอลบอกว่าผมหื่นหรอ ผมยืนขำกับคำพูดนั้นของซองยอลอยู่คนเดียว นี่ผมกลายเป็นคนหื่นในสายตาของซองยอลไปแล้วหรือนี่  แต่ไม่เป็นไรหรอกก็ไม่ใช่เพราะซองยอลเองนะหรอที่ทำให้คนอย่างผมเปลี่ยนแปลงไปมากได้ถึงขนาดนี้ ถ้าผมจะหื่นล่ะก็ผมก็คงหื่นใส่แค่ซองยอลคนเดียวนั่นแหละ ผมพูดจริงๆ



 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น